[Owari no Seraph][Mika x Yu]You give meaning to my life [2]

Title : You give meaning to my life

Fandom : Mika x Yu

Rate : PG

Note : ดองไว้นานจัด เอามาปัดฝุ่นแต่งต่อ ยังไม่ชัวร์เลยว่าจะแต่งเป็นเรื่องยาวดีมั้ย ใจจริงอยากใส่คู่รองอย่างชินยะxกุเร็นไปด้วย แต่นิยายเพิ่งอ่านไปแค่นิดเดียวเอง แถมยังอ่านมังงะไม่ถึงไหนเลยค่ะ 555555

เอาเป็นว่าเจอกันวันจันทร์หน้านะคะทุกคนนนนนนน

——————————————————————————————-

 

“เห…ถูกจับตามองอยู่นะเนี่ย” เฟริดคลี่ยิ้มพร้อมลดมือที่ถือกล้องส่องทางไกลลง

 

“ถูกจับตามอง?” มิกะส่งเสียงถามอย่างไม่ใส่ใจเท่าไหร่นัก  

 

“ก็กองทัพอสูรจักรวรรดิญี่ปุ่นน่ะสิ มารวมตัวกันเหมือนหนูติดจั่นเลยล่ะ แหม….ตื่นเต้นจังเลย คราวนี้คงได้ปศุสัตว์มาเยอะน่าดู” เฟริดแลบลิ้นเลียริมฝีปาก

 

มิกะไม่ได้สนใจฟัง เขาเหม่อมองสีของท้องฟ้าซึ่งกลายเป็นสีส้มขมุกขมัวอันเป็นผลมาจากแรงปะทะระหว่างมนุษย์กับแวมไพร์ และกลุ่มควันจากแรงระเบิด

 

“ไปกันเถอะ” มิกะกระชับดาบในมือแน่น เถาหนามสีแดงพันเลื้อยจากปลายด้ามจับก่อนจะพันรอบข้อมือผู้เป็นเจ้าของพร้อมดูดกลืนโลหิต…..

 

 

ดาบในมือกวัดไกวอย่างไม่ออมแรง ดวงตาสีฟ้ากระจ่างใสหากแต่แฝงความเยือกเย็นจดจ้องใบหน้าของมนุษย์ผู้ตกเป็นเหยื่อ แม้จะจนมุมหากแต่ใบหน้าเปรอะเปื้อนไปด้วยเศษฝุ่นและบาดแผลเหวอะหวะกลับยังคงยกรอยยิ้มอยู่ที่มุมปากพร้อมกับพึมพำเสียงเบาเหมือนพูดอยู่คนเดียว

 

“หึ มาได้แค่นี้เองเหรอเนี่ย”  

 

มิกะไม่สนใจน้ำเสียงอ่อนแรงนั้น เขาเพียงมองเหยื่อตรงหน้าด้วยสายตาเย็นชา “ตายซะ เจ้ามนุษย์”  

 

“กุเร็น!” น้ำเสียงตะโกนก้องอย่างร้อนรน และเสียงฝีเท้าอีกหลายคู่กำลังวิ่งเข้ามาใกล้  

 

“แก!! แกทำอะไรกุเร็น!?”

 

มิกะจับกระชับปลายดาบซึ่งเสียดแทงเข้าตรงอกกุเร็น ก่อนถอนหายใจออกมาเล็กน้อย “มีมาเพิ่มอีกแล้วเหรอเนี่ย รีบๆ ไปตายซะให้….” พูดยังไม่ทันจบประโยคเขาก็ต้องเบิกตากว้างอย่างตกใจเป็นจังหวะเดียวกับที่ดาบในมือมนุษย์ตรงหน้าซึ่งเสียดแทงเข้ามาในช่องท้องของเขาจนทะลุ

 

“มะ มิกะ……” มนุษย์ผมสีดำนัยน์ตาสีเขียวสดใสเบิกกว้างราวกับตกใจ  

 

“……ยูจัง” มิกะพึมพำออกมาพร้อมก้อนเลือดที่ไหลรวมมาจุกอยู่บนคอหอยจนไหลย้อนออกมาตามริมฝีปาก

 

“มัวทำอะไรอยู่! รีบจัดการมันสิวะ!!” เสียงพันโทกุเร็นดังขึ้นเรียกสติของยูอิจิโร่ให้กลับคืนมา หากแต่มือเขาที่จับกระชับดาบแน่นกลับแข็งทื่อไม่ยอมขยับ

 

“ปัดโธ่เว้ย!” กุเร็นดึงดาบที่แทงอกตัวเองออกและเป็นฝ่ายพุ่งพรวดเข้าไปเพื่อจู่โจมแวมไพร์ตรงหน้าเสียเอง หากแต่อีกฝ่ายไม่ยอมให้เป็นอย่างนั้น เขาสะบัดดาบขึ้นมาตั้งรับคมดาบที่ฝ่ายตรงข้ามฟาดฟันลงมา ก่อนกระโดดถอยหลังเพื่อให้หลุดจากพันธนาการจากดาบของยูอิจิโร่ที่เสียบทะลุช่องท้องของตัวเอง เลือดสีแดงเข้มทะลักพรวดออกมาเป็นสายยามเขากระโดดผลุงไปเบื้องหลัง

 

ยูอิจิโร่ยังคงยืนนิ่งอึ้งอย่างจับต้นชนปลายไม่ถูก นัยน์ตาสีเขียวสดจ้องมองปลายดาบของตัวเองที่อาบย้อมไปด้วยเลือดสีแดงข้น  

 

 

ผัวะ!

 

 

“แกทำอะไรของแก!? ทำไมไม่จัดการมันตอนที่มีโอกาส นี่มันสนามรบนะเว้ย!” กุเร็นพุ่งเข้ามาต่อยยูอิจิโร่เต็มแรงจนหน้าหัน  

 

“ยูซัง….” หญิงสาวผมสีม่วงผู้มีนามว่าชิโนะพึมพำเรียกยูอิจิโร่อยู่ไม่ไกล

 

ยูอิจิโร่หันไปมองเพื่อนร่วมทีมคนอื่น ทั้งร่างเขาสั่นระริก เอ่ยคำพูดออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นๆ “…..ครอบครัวของฉันอยู่ในกลุ่มแวมไพร์”  

 

เพื่อนร่วมทีมหันไปมองทิศทางฝั่งตรงข้ามอย่างตกใจ แวมไพร์ผมสีทองนัยน์ตาสีฟ้าที่นั่งกุมท้องอยู่อีกฝากนั่นคือ ครอบครัวของยูอิจิโร่!

 

เฟริดกระโดดแผล็วลงมายืนข้างมิกะ แอบก้มลงมองคนที่นั่งคุกเข่าอยู่กับพื้นกุมท้องตัวเองที่มีเลือดไหลอาบ ก่อนเหลือบมองไปทางกองทัพอสูรจักรวรรดิญี่ปุ่นที่อยู่ฝั่งตรงข้าม พลันรอยยิ้มมาดร้ายก็จุดขึ้นที่มุมปาก

 

“โอ๊ะโอ๋ว นั่นมัน…..”  

 

มิกะยังคงจดจ้องไปยังฝั่งตรงข้ามไม่วางตา คนที่เขาเฝ้าหามาร่วมแปดปียังคงมีชีวิตอยู่ท่ามกลางเหล่ามนุษย์ ความดีใจตีรวนขึ้นมาในอกจนไม่อาจบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้

 

“นายคือมิกะงั้นเหรอ!” เสียงหนึ่งตะโกนขึ้นมาจากทิศทางที่มิคาเอลล่ามองอยู่ ยูอิจิโร่ตะโกนถามเขาพร้อมด้วยน้ำตาที่ไหลพรากลงมาตามแก้มใส “มะ มิกะ…!”

 

“ยูจัง……” มิกะเองก็น้ำตาลซึมอยู่ที่ปลายหางตาเช่นกัน  

 

“หวา….อะไรเนี่ยไอ้ท่าทางน่ารักแบบนั้น” เฟริดยกมือขึ้นปิดปากประหนึ่งซาบซึ้งใจ ก่อนจะก้มลงกระซิบข้างหูมิกะอย่างนึกสนุก “แล้วจะเอายังไงต่อดี?”

 

มิกะยังคงจดจ้องยูอิจิโร่ไม่วางต่อ เอ่ยพูดเสียงราบเรียบหากแต่แฝงไว้ด้วยความมุ่งมั่น “ผมจะช่วยยูจังออกมาจากพวกมนุษย์”  

 

“แหม ฉันจะให้ยืมมือก็ได้นะ?” เฟริดพูดติดตลก แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ขำด้วย มิกะลุกขึ้นยืนพร้อมกับกระชับดาบในมือแน่น  

 

“ยังหยิ่งยโสเหมือนเดิมเลยน้า ระวังไว้เถอะ เดี๋ยวไอ้ความโอหังนั้นจะกลับมาเล่นงานตัวเธอเอง” เฟริดได้แต่ไหวไหล่อย่างไม่ใส่ใจนัก ก่อนจะถือดาบและเดินนำหน้ามิกะ  

 

“เอาล่ะ เดี๋ยวฉันจะช่วยกำจัดมนุษย์คนอื่นให้ ระหว่างนั้นเธอก็ไปชิงตัวเจ้าหญิงของเธอมาซะนะ”  

 

พันโทกุเร็นซึ่งตระหนักได้ว่าฝ่ายกองทัพอสูรจักรวรรดิญี่ปุ่นไม่มีทางเอาชนะเผ่าพันธุ์แวมไพร์ได้ในตอนนี้จึงตะโกนสั่งการเสียงลั่น “ถอยทัพ!”

 

เหล่าสมาชิกกลุ่มเก็คคิขยับเตรียมถอยทัพตามคำสั่งของผู้บัญชาการแม้จะยังรู้สึกหงุดหงิดอยู่ลึกๆ ที่ไม่อาจทำอันตรายให้แก่เผ่าแวมไพร์ได้ หากแต่ยูอิจิโร่ยังคงยืนแน่นิ่งอยู่ที่เดิม ดวงตาสีเขียวยังคงจ้องมองไปยังทิศทางซึ่งมีร่างคุ้นตาปรากฏอยู่

 

“ยูซัง” ชิโนะเอ่ยเรียกยูอิจิโร่ พร้อมกับเดินเข้าไปหาด้วยความเป็นห่วง

 

“…..มัวทำบ้าอะไรอยู่! บอกให้ถอยทัพไง!” กุเร็นตะคอกเสียงดัง ก่อนจะกระโดดพรวดเข้ามารับดาบของเฟริดที่พุ่งเป้ามาหายูอิจิโร่ “ รีบไปสิวะ!”  

 

ยูอิจิโร่ลนลานเมื่อเห็นภาพที่กุเร็นพยายามยกดาบขึ้นต่อต้านเฟริดด้วยแขนที่สั่นระริก เฟริดยังคงไว้ด้วยสีหน้าจุดยิ้มตรงมุมปากอย่างไม่ทุกข์ร้อน

 

“ยูซัง รีบไปกันเถอะค่ะ” ชิโนะเขย่าแขนของยูอิจิโร่เพื่อเรียกสติ แม้จะยังคงลังเลอยู่ แต่สุดท้ายก็ตัดสินทิ้งกุเร็นไว้ด้านหลัง ก่อนวิ่งไปพร้อมชิโนะ

 

เฟริดยกเท้าขึ้นเตะท้องน้อยของกุเร็นเต็มแรง จนร่างสูงโปร่งทรุดลงไปนอนกองกับพื้น สำรอกเลือดสีแดงสดออกมาหนึ่งคำ แวมไพร์ผมสีเงินคลี่ยิ้มกว้างกระโดดพรวดเดียวมาหยุดตรงหน้าร่างของยูอิจิโร่

 

“ไม่ให้หนีหรอกนะ เจ้าหญิงน้อย”  

 

ยูอิจิโร่กัดฟันกรอด เบี่ยงตัวเพื่อหลบไปอีกทางเพื่อแยกจากชิโนะเพราะรู้ว่าเฟริดเล็งตัวเขาอยู่ แม้เขาจะใส่แรงวิ่งสุดฝีเท้า หากแต่ยังไม่เท่าความเร็วของแวมไพร์ เฟริดไล่กวดแผ่นหลังของยูอิจิโร่มาแบบสบายๆ ก่อนยกมือขึ้นจับบ่าของเหยื่อตัวน้อยเอาไว้แน่น

 

“ก่อนอื่นก็ขอลองชิมเลือดดูสักหน่……” พูดยังไม่ทันจบประโยคดี ดาบคมกริบก็ตวัดเข้าที่ต้นแขนข้างที่จับบ่าของยูอิจิโร่ ต้นแขนของแวมไพร์ผู้ก่อตั้งลำดับที่สิบสามอย่างเฟริดปลิวกระเด็น ผู้เป็นเจ้าของแขนรีบพรวดไปรับแขนตัวเองที่กระเด็นไปไกลเอาไว้พร้อมบ่นอุบอิบ

 

“ก็แค่ล้อเล่นเองน่า ไม่เห็นต้องโกรธขนาดนั้นเลยนี่” เฟริดถือแขนตัวเองไว้แบบสบายๆ ขัดกับสีหน้าเดือดดาลของมิกะคนร่างสูงโปร่งกระโดดพรวดเดียวมาอยู่เบื้องหน้าคนที่เขาเฝ้าถวิลหา ยูอิจิโร่เงยหน้าสบนัยน์ตาสีฟ้ากระจ่างใสอย่างคิดถึงเช่นกัน  

 

“ยูจัง ทิ้งทุกอย่างแล้วหนีไปกับผมเถอะนะ” มิกะยื่นมือส่งให้ แต่ยูอิจิโร่กลับขมวดคิ้วมุ่นอย่างไม่เข้าใจประโยคนั้น

 

“หมายความว่ายังไง?”  

 

“ตอนนี้อย่าเพิ่งถาม รีบไปกันก่อน”  

 

“เหวอออ” ยูอิจิโร่หน้าเหรอหราเมื่อถูกแขนผอมบางตวัดเข้าที่ใต้ข้อพับและอุ้มเขาในท่าเจ้าสาวได้อย่างสบายๆ มิกะกระโดดพรวดเดียวก็ไปถึงดาดฟ้าบนตึกรกร้าง ความเร็วที่ไม่ธรรมดาเริ่มทิ้งระยะให้ห่างออกจากกลุ่มเก็คคิและเหล่าแวมไพร์ออกมาเรื่อยๆ  

 

“มิกะ ปล่อยฉัน!” ยูอิจิโร่ดิ้นปัดป่าย สะบัดแขนอย่างแรงจนไปกระแทกใบหน้าหล่อเหลาของมิกะ อ้อมแขนที่กอดกระชับร่างอีกคนอยู่เริ่มคลายออกเพราะตกใจ เป็นผลให้ยูอิจิโร่ได้โอกาสกระโดดผลุงลงจากอ้อมแขนอีกฝ่ายมายืนอยู่บนพื้น

 

“ที่บอกให้ทิ้งทุกอย่างนี่หมายความว่ายังไง?” ยูอิจิโร่หันมาถามด้วยสีหน้าจริงจัง คิ้วขมวดมุ่นเหมือนไม่เข้าใจ  

 

มิกะทำสีหน้ากระอั่กกระอ่วนคล้ายลำบากใจ ก่อนเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ยูจังกำลังถูกมนุษย์พวกนั้นหลอกใช้อยู่นะ….”  

 

“หา? นายพูดบ้าอะไร คนพวกนั้นเป็นคนช่วยฉันเอาไว้นะ”  

 

“เถอะนะยูจัง เชื่อผมสักครั้งเถอะนะ” มิกะอ้อนวอนด้วยสีหน้าทุกข์ทรมาน ตัวเขาเองไม่ได้ชอบแวมไพร์ แต่ก็ไม่ได้ชอบมนุษย์ด้วยเช่นเดียวกัน

 

“ขอโทษนะมิกะ แต่ฉันไปไม่ได้ เจ้าพวกนั้นก็คือครอบครัวของฉันเหมือนกัน…..” ยูอิจิโร่บอกด้วยสีหน้าเป็นกังวล เขาตั้งใจจะหันหลังเพื่อมุ่งกลับไปยังทิศทางที่จากมา  

 

“อย่าไปนะยูจัง! ที่นั่นไม่มีอะไรน่าดูหรอก ไปด้วยกันกับผมเถอะ!” มิกะเอื้อมมือมาจับไหล่ยูอิจิโร่เอาไว้ไม่ให้หันกลับไปมองด้านหลัง  

 

“ปล่อยนะมิกะ!” ยูอิจิโร่ดิ้นปัดป่ายเต็มแรง ทันทีที่เขาดิ้นหลุดจากมือที่กอบกุมไหล่เอาไว้ได้พร้อมกับหันไปมองด้านหลังดวงตาสีเขียวกระจ่างใสก็ต้องเบิกกว้าง  

 

ภาพตรงหน้าช่างโหดร้ายจนใจของยูอิจิโร่เต้นตุบ ตอนนี้ฝ่ายกองทัพอสูรจักวรรดิญี่ปุ่นกำลังเพลี่ยงพล้ำ กลุ่มเก็คคิ ทั้งชิโนะ ทั้งพันโทกุเร็น รวมถึงคนอื่นๆ กำลังต่อสู้กับเหล่าแวมไพร์กันสุดกำลัง แต่ด้วยพละกำลังที่ต่างกัน ทุกคนจึงพ่ายแพ้ให้แก่แวมไพร์ ลำคอขาวๆ ตกเป็นเหยื่อของคมเขี้ยวที่ฝังลงมา เห็นเลือดสีแดงสดไหลเป็นทางยาว  

 

“….ทะ ทุกคน” ยูอิจิโร่ปากสั่นระริก เขารู้สึกเหมือนเห็นภาพของทุกคนตอนนี้ไปซ้อนทับกับภาพอดีต ร่างไร้ลมหายใจของครอบครัวจากสถานรับเลี้ยงเด็กเฮียคุยะ เลือดสีแดงสดที่ไหลเจิ่งนองไปทั่วพื้นสีขาว ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่หยาดน้ำตารื้นขึ้นมาที่ปลายหางตา ยูอิจิโร่เริ่มเดินไปข้างหน้าเหมือนคนไร้สติ และในจังหวะนั้นเองที่ชิโนะเหลือบมาสบตากับยูอิจิโร่  

 

คมเขี้ยวของแวมไพร์ที่ฝังอยู่ตรงต้นคอขาวสร้างความเจ็บปวดให้เธอจนแทบหมดสติ หยดน้ำตาเม็ดกลมไหลกลิ้งจากดวงตากลมโตยามได้เห็นเพื่อนร่วมทีมที่เธอไว้ใจ ปากเล็กขยับพึมพำเสียงเบาไร้เรี่ยวแรง

 

“ยูซัง….”  

 

“ชิโนะ!!” ยูอิจิโร่พุ่งตัวเข้าไปเมื่ออ่านปากเล็กที่ขยับพึมพำนั้นได้ ใจเต้นตึกตักด้วยความหวาดกลัว กลัวว่าจะสูญเสียครอบครัวไปอีกครั้ง หากแต่ยังไม่ทันก้าวไปได้มากเท่าไหร่ อ้อมกอดอบอุ่นก็พรวดเข้ามาสวมกอดกระชับจากทางด้านหลัง

 

“ยูจัง อย่าไปนะ! ไม่ต้องไปสนใจตรงนั้น ที่นั่นไม่มีอะไรให้เธอต้องสนใจ!” มิกะกอดร่างในอ้อมแขนแน่น ก้มหน้าซบลงกับบ่าที่เล็กกว่าเขานิดหน่อย ไม่สนแรงดิ้นขลุกขลักและเสียงตะคอกที่บอกให้ปล่อย เขาตัดสินใจไว้แล้วว่าจะไม่มีวันปล่อยคนๆนี้ไปอีกแล้ว

 

“มิกะปล่อยฉัน! ฉันต้องไปช่วยครอบครัวของฉัน!”  

 

แรงที่ดิ้นพล่านหยุดชะงักเมื่อเห็นมืออ่อนแรงของชิโนะทิ้งลงข้างลำตัว ดวงตากลมโตสุกใสค่อยๆ ปิดลง

 

ในวินาทีนั้น ยูอิจิโร่รู้สึกเหมือนเห็นโลกเป็นสีดำมืด เสียงกรีดร้องที่ไม่รู้ว่าออกมาจากปากของเขาเอง หรือออกมาจากจิตใต้สำนึกของตัวเขาดังก้องอยู่ในหู ทั้งร่างสั่นริกจนควบคุมไม่ได้ เขารู้สึกตาทั้งสองข้างร้อนผ่าวเหมือนมีใครเอาไฟมาเผา อะไรบางอย่างพยายามจะดันตัวออกมาจากแผ่นหลังข้างขวา ได้ยินเสียงเสื้อผ้าขาดดังแคว่กและเสียงฉีกกระชากของกล้ามเนื้อ ปีกสีดำขมุกขมัวข้างหนึ่งงอกออกมาจากแผ่นหลังที่ร้อนผ่าว มิกะที่พยายามกอดร่างซึ่งกำลังจะกลายเป็นตัวอะไรสักอย่างเอาไว้แน่นถูกแรงมหาศาลผลักออกจนร่างโปร่งของเขากระเด็นลงไปนอนกองกับพื้น

 

“…ยูจัง” มิกะตาเบิกกว้างเมื่อเห็นดวงตาสีเขียวสุกใสของคนตรงหน้าแปรเปลี่ยนเป็นสีดำ และแก้วตาเปลี่ยนเป็นสีแดงเลือดราวกับปีศาจรัตติกาล

 

ร่างกึ่งปีศาจของยูอิจิโร่โผบินด้วยความเร็วมหาศาลจนน่าตกใจ เพียงชั่วพริบตาทั้งร่างก็ไปโผล่อยู่ต่อหน้าแวมไพร์ตัวการที่กำลังก้มดูดเลือดชิโนะซึ่งหมดสติไปแล้ว เพียงแค่สะบัดมือเบาๆ สายลมประหนึ่งพายุก็สาดพัดร่างของแวมไพร์ตนนั้นให้ลอยกระเด็นไปกระแทกกับตึกที่ห่างออกไปจนตึกนั้นพังทลายลงมา

 

กุเร็นคลี่ยิ้มพึงพอใจเมื่อเห็นสภาพของยูอิจิโร่ ตาคมเหลือบมองเฟริดที่อ้าปากกว้างกำลังก้มลงเตรียมกัดต้นคอของเขา เฟริดหยุดการกระทำทุกอย่างและหันไปมองร่างกึ่งปีศาจนั้น แม้สีหน้าจะยังคงแต้มรอยยิ้มไม่ทุกข์ร้อนหากแต่ภายในใจกลับรู้สึกตื่นเต้นแบบแปลกๆ เมื่อเห็นของเล่นชิ้นใหม่ที่พวกมนุษย์สร้างขึ้น

 

“เห….นั่นมันตัวอะไรน่ะ?” เฟริดเอ่ยถามกุเร็นโดยที่ยังไม่ละสายตาไปจากร่างของยูอิจิโร่ ตาสีแดงฉายแววตื่นเต้นทุกครั้งที่เห็นยูอิจิโร่จัดการเหล่าแวมไพร์ที่ตั้งท่าจะเข้ามาจู่โจมได้ด้วยการสะบัดมือเพียงครั้งเดียว

 

“หึ ในที่สุดก็ตื่นขึ้นแล้วสินะ ทุกอย่างเป็นไปตามแผน” กุเร็นฉีกยิ้มกว้าง แม้ใบหน้าจะเต็มไปด้วยบาดแผล แต่ก็ยังคงปกปิดความดีใจบนสีหน้านั้นเอาไว้ไม่มิด

 

เฟริดขมวดคิ้ว ตาคมเบิกกว้างเมื่อสัมผัสได้ถึงสายตาของมนุษย์คนหนึ่งที่อยู่บนตึกพร้อมด้วยปืนที่กำลังเล็งมาทางเขา เขารีบผละออกห่างจากร่างของกุเร็นอย่างรวดเร็ว

 

“ว้า รู้ตัวซะแล้วเหรอเนี่ย” ชินยะที่เล็งเป้าหมายอยู่บนตึกถอนหายใจออกมาอย่างเสียดาย แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก

 

มิกะไล่ตามหลังยูอิจิโร่มาติดๆ เขากัดฟันกรอดจนสันกรามนูนเด่น รู้สึกเจ็บใจและเคียดแค้นเหล่ามนุษย์ที่ทำให้ยูจังของเขาเป็นแบบนี้

 

เห็นได้ชัดว่ายูอิจิโร่ไม่ได้สติ ร่างกึ่งปีศาจที่พุ่งเข้าทำร้ายแวมไพร์ด้วยพละกำลังมหาศาลนั้นดูคล้ายปีศาจที่ทำตามสัญชาตญาณการเอาตัวรอด ร่างนั้นทำร้ายแม้แต่กองทหารจากกองทัพอสูรจักวรรดิญี่ปุ่นด้วยกันเอง ชิโนะปรือตาตื่นขึ้นมาเนื่องจากได้รับผลกระทบจากแรงกระแทกของเศษหินและเศษปูนจากตึกที่กำลังพังทลายร่วงเข้าใส่ เธอมองเห็นร่างของยูอิจิโร่ที่มีปีกสีดำขมุกขมัวน่ากลัว ดวงตาสีดำนัยน์ตาแดงก่ำเหมือนเลือด

 

จังหวะที่สายตาของเธอสบเข้ากับดวงตาของอีกฝ่าย ชิโนะก็ต้องสะดุ้งโหยงสุดตัวเมื่ออยู่ดีๆ ร่างนั้นก็พรวดเข้ามา ดาบอสูรในมือเตรียมพุ่งเข้าเสียบร่างเธออย่างไม่ลังเล

 

 

สวบ!!

 

 

ชิโนะหลับตาแน่นเตรียมรับความเจ็บปวดที่กำลังจะเกิดขึ้น หากแต่กลับต้องขมวดคิ้วเมื่อไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวด เมื่อลืมตาขึ้นก็ต้องตกใจอีกระรอกทันทีที่เห็นแวมไพร์ระดับขุนนางผมสีทอง คนเดียวกับที่ลักพาตัวยูอิจิโร่ไปเมื่อกี้ใช้ทั้งร่างเข้ารับคมดาบแทนเธอ

 

ดาบอสูรเสียบทะลุร่างของมิกะ เลือดสีแดงสดไหลหยดจากปลายแหลมของดาบที่ทะลุออกมาจากช่องท้อง มิกะขมวดคิ้วมุ่น พยายามกัดฟันอดทนต่อความเจ็บปวดที่เกิดขึ้น

 

“ยูจัง….” น้ำเสียงแหบแห้งเอ่ยเรียกคนไม่ได้สติเจ้าของดาบที่กำลังแทงเขาอยู่ เลือดสีแดงสดไหลออกมาจากมุมปาก

 

ชิโนะรู้สึกตกตะลึงที่แวมไพร์พุ่งเข้ามาปกป้องตน ปากเล็กสั่นระริก ทำท่าจะเอ่ยประโยคบางอย่างออกมา “คะ คุณ……”

 

“หุบปากเจ้ามนุษย์ ฉันไม่ได้จะช่วยแก ฉันแค่ไม่อยากให้ยูจังเสียใจทีหลังก็แค่นั้น” มิกะพูดรอดไรฟัน บาดแผลตรงช่องท้องรุนแรงเสียจนเขาเริ่มตาพร่า เขากัดฟันแน่นจนสันกรามนูนเด่น ก่อนเอ่ยประโยคต่อมา “เพราะยูจังบอกว่าพวกแกคือครอบครัว……”

 

ชิโนะเบิกตากว้าง เธอมองแวมไพร์ตรงหน้าสลับกับร่างกึ่งอสูรด้านหลัง เลือดสีแดงก่ำที่ไหลท่วมเสื้อสีขาวของแวมไพร์ตรงหน้าทำให้ชิโนะตัดสินใจกระโดดพรวดเข้าไปกอดร่างของยูอิจิโร่เอาไว้

 

“ยูซัง! ได้สติเถอะค่ะ! คนๆ นี้คือครอบครัวของยูซังไม่ใช่เหรอคะ!?” ชิโนะตะโกนเสียงดังลั่น ร่างของยูอิจิโร่เหมือนชะงักไปแวบหนึ่ง นัยน์ตาปีศาจไหวริกคล้ายพยายามต่อสู้กับตัวเอง

 

“อ๊ากกกกกกก” เสียงแหบแห้งกรีดร้องออกมาอย่างน่าสงสาร มือที่กระชับดาบปล่อยออก ทั้งร่างดิ้นปัดป่ายอย่างเจ็บปวด แม้จะเจ็บแสบตอนโดนเล็บข่วนแต่ชิโนะก็ยังอดทนกอดร่างยูอิจิโร่เอาไว้ไม่ยอมปล่อย ปากเล็กเรียกชื่ออีกฝ่ายซ้ำๆ เพื่อให้ได้สติ

 

“ยูซัง! ยูซัง!”

 

มิกะทรุดลงไปกองกับพื้น ถุงมือสีขาวอาบย้อมไปด้วยสีแดงฉาน เขาเอื้อมไปดึงดาบที่ปักทะลุท้องตัวเองออกในพรวดเดียวจนเลือดสาดกระเซ็นไปตามพื้น เขารู้สึกไม่พอใจจนเกิดประกายกร้าวที่นัยน์ตาตอนเห็นชิโนะเข้าไปสวมกอดยูอิจิโร่ หากแต่ตอนนี้เองเขาก็ไร้เรี่ยวแรงจะเข้าไปต่อต้านอะไรได้เช่นกัน

 

“ยูจัง….” มิกะพยายามจะยันตัวขึ้นเพื่อเดินไปหายูอิจิโร่ที่ยังคงกรีดร้องทุรนทุรานอยู่ในอ้อมกอดชิโนะ แต่ยังไม่ทันก้าวเท้าออกไป ไหล่ก็ถูกกระชากไปด้านหลังพร้อมพาตัวเขาลากทิ้งห่างยูอิจิโร่ออกไปไกลอย่างรวดเร็ว

 

“เฟริด ปล่อย!!” มิกะตะโกนเสียงโกรธเคือง พยายามจะดิ้นออกจากมือคีมเหล็กที่บีบไหล่เขาแน่น

 

“ตอนนี้ได้เวลาถอยแล้วขอรับคุณหนู” เฟริดพูดล้อเลียน

 

“แต่ยูจัง!”

 

“อย่าเพิ่งโวยวายสิ เห็นมั้ยว่าองค์หญิงของเธอไม่เป็นไรแล้วน่ะ เดี๋ยวเอาไว้ค่อยมาชิงตัววันหลัง” เฟริดยกนิ้วชี้ให้มองไปยังทางที่พาลากมิกะมา

 

ด้วยเพราะเมื่อกี้มัวแต่หันมาตะโกนบอกให้เฟริดปล่อย เขาจึงไม่ทันเห็นว่าร่างอสูรของยูอิจิโร่กลับมาเป็นมนุษย์ปกติแล้ว ร่างนั้นหมดสติอยู่ในอ้อมแขนของชิโนะ กลุ่มเก็คคิรายล้อมร่างของยูอิจิโร่เอาไว้ สีหน้าเต็มไปด้วยความเป็นห่วง

 

มิกะขมวดคิ้วมุ่น รู้สึกขุ่นเคืองพวกมนุษย์ที่ทำให้ยูอิจิโร่เป็นแบบนั้น จำใจต้องปล่อยให้เฟริดลากตัวกลับไปอย่างไม่เต็มใจแม้จะยังโหยหาคนอันแสนคิดถึง

 

ชั่วพริบตานั้น มิกะสบสายตาเข้ากับนัยน์ตากลมโตสีน้ำตาลของหญิงสาวผมสีม่วง สายตานั้นเต็มไปด้วยความแน่วแน่ ปากเล็กเอ่ยพึมพำขมุบขมิบเสียงเบาที่ทำให้มิกะพออ่านปากได้ว่า

 

‘ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ’

 

แม้จะรู้สึกไม่ค่อยพอใจที่ต้องฝากฝังยูอิจิโร่ไว้กับพวกมนุษย์ แต่มิกะเองก็ไม่มีทางเลือกมากนัก เขาพึมพำเสียงเบาเหมือนพูดอยู่คนเดียว พร้อมปล่อยให้ร่างของยูอิจิโร่ลับสายตาไป

 

“ยูจัง ฉันจะต้องช่วยเธอให้ได้”

 

———————————————————–

Leave a comment