[Owari no Seraph][Mika x Yu]You give meaning to my life [2]

Title : You give meaning to my life

Fandom : Mika x Yu

Rate : PG

Note : ดองไว้นานจัด เอามาปัดฝุ่นแต่งต่อ ยังไม่ชัวร์เลยว่าจะแต่งเป็นเรื่องยาวดีมั้ย ใจจริงอยากใส่คู่รองอย่างชินยะxกุเร็นไปด้วย แต่นิยายเพิ่งอ่านไปแค่นิดเดียวเอง แถมยังอ่านมังงะไม่ถึงไหนเลยค่ะ 555555

เอาเป็นว่าเจอกันวันจันทร์หน้านะคะทุกคนนนนนนน

——————————————————————————————-

 

“เห…ถูกจับตามองอยู่นะเนี่ย” เฟริดคลี่ยิ้มพร้อมลดมือที่ถือกล้องส่องทางไกลลง

 

“ถูกจับตามอง?” มิกะส่งเสียงถามอย่างไม่ใส่ใจเท่าไหร่นัก  

 

“ก็กองทัพอสูรจักรวรรดิญี่ปุ่นน่ะสิ มารวมตัวกันเหมือนหนูติดจั่นเลยล่ะ แหม….ตื่นเต้นจังเลย คราวนี้คงได้ปศุสัตว์มาเยอะน่าดู” เฟริดแลบลิ้นเลียริมฝีปาก

 

มิกะไม่ได้สนใจฟัง เขาเหม่อมองสีของท้องฟ้าซึ่งกลายเป็นสีส้มขมุกขมัวอันเป็นผลมาจากแรงปะทะระหว่างมนุษย์กับแวมไพร์ และกลุ่มควันจากแรงระเบิด

 

“ไปกันเถอะ” มิกะกระชับดาบในมือแน่น เถาหนามสีแดงพันเลื้อยจากปลายด้ามจับก่อนจะพันรอบข้อมือผู้เป็นเจ้าของพร้อมดูดกลืนโลหิต…..

 

 

ดาบในมือกวัดไกวอย่างไม่ออมแรง ดวงตาสีฟ้ากระจ่างใสหากแต่แฝงความเยือกเย็นจดจ้องใบหน้าของมนุษย์ผู้ตกเป็นเหยื่อ แม้จะจนมุมหากแต่ใบหน้าเปรอะเปื้อนไปด้วยเศษฝุ่นและบาดแผลเหวอะหวะกลับยังคงยกรอยยิ้มอยู่ที่มุมปากพร้อมกับพึมพำเสียงเบาเหมือนพูดอยู่คนเดียว

 

“หึ มาได้แค่นี้เองเหรอเนี่ย”  

 

มิกะไม่สนใจน้ำเสียงอ่อนแรงนั้น เขาเพียงมองเหยื่อตรงหน้าด้วยสายตาเย็นชา “ตายซะ เจ้ามนุษย์”  

 

“กุเร็น!” น้ำเสียงตะโกนก้องอย่างร้อนรน และเสียงฝีเท้าอีกหลายคู่กำลังวิ่งเข้ามาใกล้  

 

“แก!! แกทำอะไรกุเร็น!?”

 

มิกะจับกระชับปลายดาบซึ่งเสียดแทงเข้าตรงอกกุเร็น ก่อนถอนหายใจออกมาเล็กน้อย “มีมาเพิ่มอีกแล้วเหรอเนี่ย รีบๆ ไปตายซะให้….” พูดยังไม่ทันจบประโยคเขาก็ต้องเบิกตากว้างอย่างตกใจเป็นจังหวะเดียวกับที่ดาบในมือมนุษย์ตรงหน้าซึ่งเสียดแทงเข้ามาในช่องท้องของเขาจนทะลุ

 

“มะ มิกะ……” มนุษย์ผมสีดำนัยน์ตาสีเขียวสดใสเบิกกว้างราวกับตกใจ  

 

“……ยูจัง” มิกะพึมพำออกมาพร้อมก้อนเลือดที่ไหลรวมมาจุกอยู่บนคอหอยจนไหลย้อนออกมาตามริมฝีปาก

 

“มัวทำอะไรอยู่! รีบจัดการมันสิวะ!!” เสียงพันโทกุเร็นดังขึ้นเรียกสติของยูอิจิโร่ให้กลับคืนมา หากแต่มือเขาที่จับกระชับดาบแน่นกลับแข็งทื่อไม่ยอมขยับ

 

“ปัดโธ่เว้ย!” กุเร็นดึงดาบที่แทงอกตัวเองออกและเป็นฝ่ายพุ่งพรวดเข้าไปเพื่อจู่โจมแวมไพร์ตรงหน้าเสียเอง หากแต่อีกฝ่ายไม่ยอมให้เป็นอย่างนั้น เขาสะบัดดาบขึ้นมาตั้งรับคมดาบที่ฝ่ายตรงข้ามฟาดฟันลงมา ก่อนกระโดดถอยหลังเพื่อให้หลุดจากพันธนาการจากดาบของยูอิจิโร่ที่เสียบทะลุช่องท้องของตัวเอง เลือดสีแดงเข้มทะลักพรวดออกมาเป็นสายยามเขากระโดดผลุงไปเบื้องหลัง

 

ยูอิจิโร่ยังคงยืนนิ่งอึ้งอย่างจับต้นชนปลายไม่ถูก นัยน์ตาสีเขียวสดจ้องมองปลายดาบของตัวเองที่อาบย้อมไปด้วยเลือดสีแดงข้น  

 

 

ผัวะ!

 

 

“แกทำอะไรของแก!? ทำไมไม่จัดการมันตอนที่มีโอกาส นี่มันสนามรบนะเว้ย!” กุเร็นพุ่งเข้ามาต่อยยูอิจิโร่เต็มแรงจนหน้าหัน  

 

“ยูซัง….” หญิงสาวผมสีม่วงผู้มีนามว่าชิโนะพึมพำเรียกยูอิจิโร่อยู่ไม่ไกล

 

ยูอิจิโร่หันไปมองเพื่อนร่วมทีมคนอื่น ทั้งร่างเขาสั่นระริก เอ่ยคำพูดออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นๆ “…..ครอบครัวของฉันอยู่ในกลุ่มแวมไพร์”  

 

เพื่อนร่วมทีมหันไปมองทิศทางฝั่งตรงข้ามอย่างตกใจ แวมไพร์ผมสีทองนัยน์ตาสีฟ้าที่นั่งกุมท้องอยู่อีกฝากนั่นคือ ครอบครัวของยูอิจิโร่!

 

เฟริดกระโดดแผล็วลงมายืนข้างมิกะ แอบก้มลงมองคนที่นั่งคุกเข่าอยู่กับพื้นกุมท้องตัวเองที่มีเลือดไหลอาบ ก่อนเหลือบมองไปทางกองทัพอสูรจักรวรรดิญี่ปุ่นที่อยู่ฝั่งตรงข้าม พลันรอยยิ้มมาดร้ายก็จุดขึ้นที่มุมปาก

 

“โอ๊ะโอ๋ว นั่นมัน…..”  

 

มิกะยังคงจดจ้องไปยังฝั่งตรงข้ามไม่วางตา คนที่เขาเฝ้าหามาร่วมแปดปียังคงมีชีวิตอยู่ท่ามกลางเหล่ามนุษย์ ความดีใจตีรวนขึ้นมาในอกจนไม่อาจบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้

 

“นายคือมิกะงั้นเหรอ!” เสียงหนึ่งตะโกนขึ้นมาจากทิศทางที่มิคาเอลล่ามองอยู่ ยูอิจิโร่ตะโกนถามเขาพร้อมด้วยน้ำตาที่ไหลพรากลงมาตามแก้มใส “มะ มิกะ…!”

 

“ยูจัง……” มิกะเองก็น้ำตาลซึมอยู่ที่ปลายหางตาเช่นกัน  

 

“หวา….อะไรเนี่ยไอ้ท่าทางน่ารักแบบนั้น” เฟริดยกมือขึ้นปิดปากประหนึ่งซาบซึ้งใจ ก่อนจะก้มลงกระซิบข้างหูมิกะอย่างนึกสนุก “แล้วจะเอายังไงต่อดี?”

 

มิกะยังคงจดจ้องยูอิจิโร่ไม่วางต่อ เอ่ยพูดเสียงราบเรียบหากแต่แฝงไว้ด้วยความมุ่งมั่น “ผมจะช่วยยูจังออกมาจากพวกมนุษย์”  

 

“แหม ฉันจะให้ยืมมือก็ได้นะ?” เฟริดพูดติดตลก แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ขำด้วย มิกะลุกขึ้นยืนพร้อมกับกระชับดาบในมือแน่น  

 

“ยังหยิ่งยโสเหมือนเดิมเลยน้า ระวังไว้เถอะ เดี๋ยวไอ้ความโอหังนั้นจะกลับมาเล่นงานตัวเธอเอง” เฟริดได้แต่ไหวไหล่อย่างไม่ใส่ใจนัก ก่อนจะถือดาบและเดินนำหน้ามิกะ  

 

“เอาล่ะ เดี๋ยวฉันจะช่วยกำจัดมนุษย์คนอื่นให้ ระหว่างนั้นเธอก็ไปชิงตัวเจ้าหญิงของเธอมาซะนะ”  

 

พันโทกุเร็นซึ่งตระหนักได้ว่าฝ่ายกองทัพอสูรจักรวรรดิญี่ปุ่นไม่มีทางเอาชนะเผ่าพันธุ์แวมไพร์ได้ในตอนนี้จึงตะโกนสั่งการเสียงลั่น “ถอยทัพ!”

 

เหล่าสมาชิกกลุ่มเก็คคิขยับเตรียมถอยทัพตามคำสั่งของผู้บัญชาการแม้จะยังรู้สึกหงุดหงิดอยู่ลึกๆ ที่ไม่อาจทำอันตรายให้แก่เผ่าแวมไพร์ได้ หากแต่ยูอิจิโร่ยังคงยืนแน่นิ่งอยู่ที่เดิม ดวงตาสีเขียวยังคงจ้องมองไปยังทิศทางซึ่งมีร่างคุ้นตาปรากฏอยู่

 

“ยูซัง” ชิโนะเอ่ยเรียกยูอิจิโร่ พร้อมกับเดินเข้าไปหาด้วยความเป็นห่วง

 

“…..มัวทำบ้าอะไรอยู่! บอกให้ถอยทัพไง!” กุเร็นตะคอกเสียงดัง ก่อนจะกระโดดพรวดเข้ามารับดาบของเฟริดที่พุ่งเป้ามาหายูอิจิโร่ “ รีบไปสิวะ!”  

 

ยูอิจิโร่ลนลานเมื่อเห็นภาพที่กุเร็นพยายามยกดาบขึ้นต่อต้านเฟริดด้วยแขนที่สั่นระริก เฟริดยังคงไว้ด้วยสีหน้าจุดยิ้มตรงมุมปากอย่างไม่ทุกข์ร้อน

 

“ยูซัง รีบไปกันเถอะค่ะ” ชิโนะเขย่าแขนของยูอิจิโร่เพื่อเรียกสติ แม้จะยังคงลังเลอยู่ แต่สุดท้ายก็ตัดสินทิ้งกุเร็นไว้ด้านหลัง ก่อนวิ่งไปพร้อมชิโนะ

 

เฟริดยกเท้าขึ้นเตะท้องน้อยของกุเร็นเต็มแรง จนร่างสูงโปร่งทรุดลงไปนอนกองกับพื้น สำรอกเลือดสีแดงสดออกมาหนึ่งคำ แวมไพร์ผมสีเงินคลี่ยิ้มกว้างกระโดดพรวดเดียวมาหยุดตรงหน้าร่างของยูอิจิโร่

 

“ไม่ให้หนีหรอกนะ เจ้าหญิงน้อย”  

 

ยูอิจิโร่กัดฟันกรอด เบี่ยงตัวเพื่อหลบไปอีกทางเพื่อแยกจากชิโนะเพราะรู้ว่าเฟริดเล็งตัวเขาอยู่ แม้เขาจะใส่แรงวิ่งสุดฝีเท้า หากแต่ยังไม่เท่าความเร็วของแวมไพร์ เฟริดไล่กวดแผ่นหลังของยูอิจิโร่มาแบบสบายๆ ก่อนยกมือขึ้นจับบ่าของเหยื่อตัวน้อยเอาไว้แน่น

 

“ก่อนอื่นก็ขอลองชิมเลือดดูสักหน่……” พูดยังไม่ทันจบประโยคดี ดาบคมกริบก็ตวัดเข้าที่ต้นแขนข้างที่จับบ่าของยูอิจิโร่ ต้นแขนของแวมไพร์ผู้ก่อตั้งลำดับที่สิบสามอย่างเฟริดปลิวกระเด็น ผู้เป็นเจ้าของแขนรีบพรวดไปรับแขนตัวเองที่กระเด็นไปไกลเอาไว้พร้อมบ่นอุบอิบ

 

“ก็แค่ล้อเล่นเองน่า ไม่เห็นต้องโกรธขนาดนั้นเลยนี่” เฟริดถือแขนตัวเองไว้แบบสบายๆ ขัดกับสีหน้าเดือดดาลของมิกะคนร่างสูงโปร่งกระโดดพรวดเดียวมาอยู่เบื้องหน้าคนที่เขาเฝ้าถวิลหา ยูอิจิโร่เงยหน้าสบนัยน์ตาสีฟ้ากระจ่างใสอย่างคิดถึงเช่นกัน  

 

“ยูจัง ทิ้งทุกอย่างแล้วหนีไปกับผมเถอะนะ” มิกะยื่นมือส่งให้ แต่ยูอิจิโร่กลับขมวดคิ้วมุ่นอย่างไม่เข้าใจประโยคนั้น

 

“หมายความว่ายังไง?”  

 

“ตอนนี้อย่าเพิ่งถาม รีบไปกันก่อน”  

 

“เหวอออ” ยูอิจิโร่หน้าเหรอหราเมื่อถูกแขนผอมบางตวัดเข้าที่ใต้ข้อพับและอุ้มเขาในท่าเจ้าสาวได้อย่างสบายๆ มิกะกระโดดพรวดเดียวก็ไปถึงดาดฟ้าบนตึกรกร้าง ความเร็วที่ไม่ธรรมดาเริ่มทิ้งระยะให้ห่างออกจากกลุ่มเก็คคิและเหล่าแวมไพร์ออกมาเรื่อยๆ  

 

“มิกะ ปล่อยฉัน!” ยูอิจิโร่ดิ้นปัดป่าย สะบัดแขนอย่างแรงจนไปกระแทกใบหน้าหล่อเหลาของมิกะ อ้อมแขนที่กอดกระชับร่างอีกคนอยู่เริ่มคลายออกเพราะตกใจ เป็นผลให้ยูอิจิโร่ได้โอกาสกระโดดผลุงลงจากอ้อมแขนอีกฝ่ายมายืนอยู่บนพื้น

 

“ที่บอกให้ทิ้งทุกอย่างนี่หมายความว่ายังไง?” ยูอิจิโร่หันมาถามด้วยสีหน้าจริงจัง คิ้วขมวดมุ่นเหมือนไม่เข้าใจ  

 

มิกะทำสีหน้ากระอั่กกระอ่วนคล้ายลำบากใจ ก่อนเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ยูจังกำลังถูกมนุษย์พวกนั้นหลอกใช้อยู่นะ….”  

 

“หา? นายพูดบ้าอะไร คนพวกนั้นเป็นคนช่วยฉันเอาไว้นะ”  

 

“เถอะนะยูจัง เชื่อผมสักครั้งเถอะนะ” มิกะอ้อนวอนด้วยสีหน้าทุกข์ทรมาน ตัวเขาเองไม่ได้ชอบแวมไพร์ แต่ก็ไม่ได้ชอบมนุษย์ด้วยเช่นเดียวกัน

 

“ขอโทษนะมิกะ แต่ฉันไปไม่ได้ เจ้าพวกนั้นก็คือครอบครัวของฉันเหมือนกัน…..” ยูอิจิโร่บอกด้วยสีหน้าเป็นกังวล เขาตั้งใจจะหันหลังเพื่อมุ่งกลับไปยังทิศทางที่จากมา  

 

“อย่าไปนะยูจัง! ที่นั่นไม่มีอะไรน่าดูหรอก ไปด้วยกันกับผมเถอะ!” มิกะเอื้อมมือมาจับไหล่ยูอิจิโร่เอาไว้ไม่ให้หันกลับไปมองด้านหลัง  

 

“ปล่อยนะมิกะ!” ยูอิจิโร่ดิ้นปัดป่ายเต็มแรง ทันทีที่เขาดิ้นหลุดจากมือที่กอบกุมไหล่เอาไว้ได้พร้อมกับหันไปมองด้านหลังดวงตาสีเขียวกระจ่างใสก็ต้องเบิกกว้าง  

 

ภาพตรงหน้าช่างโหดร้ายจนใจของยูอิจิโร่เต้นตุบ ตอนนี้ฝ่ายกองทัพอสูรจักวรรดิญี่ปุ่นกำลังเพลี่ยงพล้ำ กลุ่มเก็คคิ ทั้งชิโนะ ทั้งพันโทกุเร็น รวมถึงคนอื่นๆ กำลังต่อสู้กับเหล่าแวมไพร์กันสุดกำลัง แต่ด้วยพละกำลังที่ต่างกัน ทุกคนจึงพ่ายแพ้ให้แก่แวมไพร์ ลำคอขาวๆ ตกเป็นเหยื่อของคมเขี้ยวที่ฝังลงมา เห็นเลือดสีแดงสดไหลเป็นทางยาว  

 

“….ทะ ทุกคน” ยูอิจิโร่ปากสั่นระริก เขารู้สึกเหมือนเห็นภาพของทุกคนตอนนี้ไปซ้อนทับกับภาพอดีต ร่างไร้ลมหายใจของครอบครัวจากสถานรับเลี้ยงเด็กเฮียคุยะ เลือดสีแดงสดที่ไหลเจิ่งนองไปทั่วพื้นสีขาว ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่หยาดน้ำตารื้นขึ้นมาที่ปลายหางตา ยูอิจิโร่เริ่มเดินไปข้างหน้าเหมือนคนไร้สติ และในจังหวะนั้นเองที่ชิโนะเหลือบมาสบตากับยูอิจิโร่  

 

คมเขี้ยวของแวมไพร์ที่ฝังอยู่ตรงต้นคอขาวสร้างความเจ็บปวดให้เธอจนแทบหมดสติ หยดน้ำตาเม็ดกลมไหลกลิ้งจากดวงตากลมโตยามได้เห็นเพื่อนร่วมทีมที่เธอไว้ใจ ปากเล็กขยับพึมพำเสียงเบาไร้เรี่ยวแรง

 

“ยูซัง….”  

 

“ชิโนะ!!” ยูอิจิโร่พุ่งตัวเข้าไปเมื่ออ่านปากเล็กที่ขยับพึมพำนั้นได้ ใจเต้นตึกตักด้วยความหวาดกลัว กลัวว่าจะสูญเสียครอบครัวไปอีกครั้ง หากแต่ยังไม่ทันก้าวไปได้มากเท่าไหร่ อ้อมกอดอบอุ่นก็พรวดเข้ามาสวมกอดกระชับจากทางด้านหลัง

 

“ยูจัง อย่าไปนะ! ไม่ต้องไปสนใจตรงนั้น ที่นั่นไม่มีอะไรให้เธอต้องสนใจ!” มิกะกอดร่างในอ้อมแขนแน่น ก้มหน้าซบลงกับบ่าที่เล็กกว่าเขานิดหน่อย ไม่สนแรงดิ้นขลุกขลักและเสียงตะคอกที่บอกให้ปล่อย เขาตัดสินใจไว้แล้วว่าจะไม่มีวันปล่อยคนๆนี้ไปอีกแล้ว

 

“มิกะปล่อยฉัน! ฉันต้องไปช่วยครอบครัวของฉัน!”  

 

แรงที่ดิ้นพล่านหยุดชะงักเมื่อเห็นมืออ่อนแรงของชิโนะทิ้งลงข้างลำตัว ดวงตากลมโตสุกใสค่อยๆ ปิดลง

 

ในวินาทีนั้น ยูอิจิโร่รู้สึกเหมือนเห็นโลกเป็นสีดำมืด เสียงกรีดร้องที่ไม่รู้ว่าออกมาจากปากของเขาเอง หรือออกมาจากจิตใต้สำนึกของตัวเขาดังก้องอยู่ในหู ทั้งร่างสั่นริกจนควบคุมไม่ได้ เขารู้สึกตาทั้งสองข้างร้อนผ่าวเหมือนมีใครเอาไฟมาเผา อะไรบางอย่างพยายามจะดันตัวออกมาจากแผ่นหลังข้างขวา ได้ยินเสียงเสื้อผ้าขาดดังแคว่กและเสียงฉีกกระชากของกล้ามเนื้อ ปีกสีดำขมุกขมัวข้างหนึ่งงอกออกมาจากแผ่นหลังที่ร้อนผ่าว มิกะที่พยายามกอดร่างซึ่งกำลังจะกลายเป็นตัวอะไรสักอย่างเอาไว้แน่นถูกแรงมหาศาลผลักออกจนร่างโปร่งของเขากระเด็นลงไปนอนกองกับพื้น

 

“…ยูจัง” มิกะตาเบิกกว้างเมื่อเห็นดวงตาสีเขียวสุกใสของคนตรงหน้าแปรเปลี่ยนเป็นสีดำ และแก้วตาเปลี่ยนเป็นสีแดงเลือดราวกับปีศาจรัตติกาล

 

ร่างกึ่งปีศาจของยูอิจิโร่โผบินด้วยความเร็วมหาศาลจนน่าตกใจ เพียงชั่วพริบตาทั้งร่างก็ไปโผล่อยู่ต่อหน้าแวมไพร์ตัวการที่กำลังก้มดูดเลือดชิโนะซึ่งหมดสติไปแล้ว เพียงแค่สะบัดมือเบาๆ สายลมประหนึ่งพายุก็สาดพัดร่างของแวมไพร์ตนนั้นให้ลอยกระเด็นไปกระแทกกับตึกที่ห่างออกไปจนตึกนั้นพังทลายลงมา

 

กุเร็นคลี่ยิ้มพึงพอใจเมื่อเห็นสภาพของยูอิจิโร่ ตาคมเหลือบมองเฟริดที่อ้าปากกว้างกำลังก้มลงเตรียมกัดต้นคอของเขา เฟริดหยุดการกระทำทุกอย่างและหันไปมองร่างกึ่งปีศาจนั้น แม้สีหน้าจะยังคงแต้มรอยยิ้มไม่ทุกข์ร้อนหากแต่ภายในใจกลับรู้สึกตื่นเต้นแบบแปลกๆ เมื่อเห็นของเล่นชิ้นใหม่ที่พวกมนุษย์สร้างขึ้น

 

“เห….นั่นมันตัวอะไรน่ะ?” เฟริดเอ่ยถามกุเร็นโดยที่ยังไม่ละสายตาไปจากร่างของยูอิจิโร่ ตาสีแดงฉายแววตื่นเต้นทุกครั้งที่เห็นยูอิจิโร่จัดการเหล่าแวมไพร์ที่ตั้งท่าจะเข้ามาจู่โจมได้ด้วยการสะบัดมือเพียงครั้งเดียว

 

“หึ ในที่สุดก็ตื่นขึ้นแล้วสินะ ทุกอย่างเป็นไปตามแผน” กุเร็นฉีกยิ้มกว้าง แม้ใบหน้าจะเต็มไปด้วยบาดแผล แต่ก็ยังคงปกปิดความดีใจบนสีหน้านั้นเอาไว้ไม่มิด

 

เฟริดขมวดคิ้ว ตาคมเบิกกว้างเมื่อสัมผัสได้ถึงสายตาของมนุษย์คนหนึ่งที่อยู่บนตึกพร้อมด้วยปืนที่กำลังเล็งมาทางเขา เขารีบผละออกห่างจากร่างของกุเร็นอย่างรวดเร็ว

 

“ว้า รู้ตัวซะแล้วเหรอเนี่ย” ชินยะที่เล็งเป้าหมายอยู่บนตึกถอนหายใจออกมาอย่างเสียดาย แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก

 

มิกะไล่ตามหลังยูอิจิโร่มาติดๆ เขากัดฟันกรอดจนสันกรามนูนเด่น รู้สึกเจ็บใจและเคียดแค้นเหล่ามนุษย์ที่ทำให้ยูจังของเขาเป็นแบบนี้

 

เห็นได้ชัดว่ายูอิจิโร่ไม่ได้สติ ร่างกึ่งปีศาจที่พุ่งเข้าทำร้ายแวมไพร์ด้วยพละกำลังมหาศาลนั้นดูคล้ายปีศาจที่ทำตามสัญชาตญาณการเอาตัวรอด ร่างนั้นทำร้ายแม้แต่กองทหารจากกองทัพอสูรจักวรรดิญี่ปุ่นด้วยกันเอง ชิโนะปรือตาตื่นขึ้นมาเนื่องจากได้รับผลกระทบจากแรงกระแทกของเศษหินและเศษปูนจากตึกที่กำลังพังทลายร่วงเข้าใส่ เธอมองเห็นร่างของยูอิจิโร่ที่มีปีกสีดำขมุกขมัวน่ากลัว ดวงตาสีดำนัยน์ตาแดงก่ำเหมือนเลือด

 

จังหวะที่สายตาของเธอสบเข้ากับดวงตาของอีกฝ่าย ชิโนะก็ต้องสะดุ้งโหยงสุดตัวเมื่ออยู่ดีๆ ร่างนั้นก็พรวดเข้ามา ดาบอสูรในมือเตรียมพุ่งเข้าเสียบร่างเธออย่างไม่ลังเล

 

 

สวบ!!

 

 

ชิโนะหลับตาแน่นเตรียมรับความเจ็บปวดที่กำลังจะเกิดขึ้น หากแต่กลับต้องขมวดคิ้วเมื่อไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวด เมื่อลืมตาขึ้นก็ต้องตกใจอีกระรอกทันทีที่เห็นแวมไพร์ระดับขุนนางผมสีทอง คนเดียวกับที่ลักพาตัวยูอิจิโร่ไปเมื่อกี้ใช้ทั้งร่างเข้ารับคมดาบแทนเธอ

 

ดาบอสูรเสียบทะลุร่างของมิกะ เลือดสีแดงสดไหลหยดจากปลายแหลมของดาบที่ทะลุออกมาจากช่องท้อง มิกะขมวดคิ้วมุ่น พยายามกัดฟันอดทนต่อความเจ็บปวดที่เกิดขึ้น

 

“ยูจัง….” น้ำเสียงแหบแห้งเอ่ยเรียกคนไม่ได้สติเจ้าของดาบที่กำลังแทงเขาอยู่ เลือดสีแดงสดไหลออกมาจากมุมปาก

 

ชิโนะรู้สึกตกตะลึงที่แวมไพร์พุ่งเข้ามาปกป้องตน ปากเล็กสั่นระริก ทำท่าจะเอ่ยประโยคบางอย่างออกมา “คะ คุณ……”

 

“หุบปากเจ้ามนุษย์ ฉันไม่ได้จะช่วยแก ฉันแค่ไม่อยากให้ยูจังเสียใจทีหลังก็แค่นั้น” มิกะพูดรอดไรฟัน บาดแผลตรงช่องท้องรุนแรงเสียจนเขาเริ่มตาพร่า เขากัดฟันแน่นจนสันกรามนูนเด่น ก่อนเอ่ยประโยคต่อมา “เพราะยูจังบอกว่าพวกแกคือครอบครัว……”

 

ชิโนะเบิกตากว้าง เธอมองแวมไพร์ตรงหน้าสลับกับร่างกึ่งอสูรด้านหลัง เลือดสีแดงก่ำที่ไหลท่วมเสื้อสีขาวของแวมไพร์ตรงหน้าทำให้ชิโนะตัดสินใจกระโดดพรวดเข้าไปกอดร่างของยูอิจิโร่เอาไว้

 

“ยูซัง! ได้สติเถอะค่ะ! คนๆ นี้คือครอบครัวของยูซังไม่ใช่เหรอคะ!?” ชิโนะตะโกนเสียงดังลั่น ร่างของยูอิจิโร่เหมือนชะงักไปแวบหนึ่ง นัยน์ตาปีศาจไหวริกคล้ายพยายามต่อสู้กับตัวเอง

 

“อ๊ากกกกกกก” เสียงแหบแห้งกรีดร้องออกมาอย่างน่าสงสาร มือที่กระชับดาบปล่อยออก ทั้งร่างดิ้นปัดป่ายอย่างเจ็บปวด แม้จะเจ็บแสบตอนโดนเล็บข่วนแต่ชิโนะก็ยังอดทนกอดร่างยูอิจิโร่เอาไว้ไม่ยอมปล่อย ปากเล็กเรียกชื่ออีกฝ่ายซ้ำๆ เพื่อให้ได้สติ

 

“ยูซัง! ยูซัง!”

 

มิกะทรุดลงไปกองกับพื้น ถุงมือสีขาวอาบย้อมไปด้วยสีแดงฉาน เขาเอื้อมไปดึงดาบที่ปักทะลุท้องตัวเองออกในพรวดเดียวจนเลือดสาดกระเซ็นไปตามพื้น เขารู้สึกไม่พอใจจนเกิดประกายกร้าวที่นัยน์ตาตอนเห็นชิโนะเข้าไปสวมกอดยูอิจิโร่ หากแต่ตอนนี้เองเขาก็ไร้เรี่ยวแรงจะเข้าไปต่อต้านอะไรได้เช่นกัน

 

“ยูจัง….” มิกะพยายามจะยันตัวขึ้นเพื่อเดินไปหายูอิจิโร่ที่ยังคงกรีดร้องทุรนทุรานอยู่ในอ้อมกอดชิโนะ แต่ยังไม่ทันก้าวเท้าออกไป ไหล่ก็ถูกกระชากไปด้านหลังพร้อมพาตัวเขาลากทิ้งห่างยูอิจิโร่ออกไปไกลอย่างรวดเร็ว

 

“เฟริด ปล่อย!!” มิกะตะโกนเสียงโกรธเคือง พยายามจะดิ้นออกจากมือคีมเหล็กที่บีบไหล่เขาแน่น

 

“ตอนนี้ได้เวลาถอยแล้วขอรับคุณหนู” เฟริดพูดล้อเลียน

 

“แต่ยูจัง!”

 

“อย่าเพิ่งโวยวายสิ เห็นมั้ยว่าองค์หญิงของเธอไม่เป็นไรแล้วน่ะ เดี๋ยวเอาไว้ค่อยมาชิงตัววันหลัง” เฟริดยกนิ้วชี้ให้มองไปยังทางที่พาลากมิกะมา

 

ด้วยเพราะเมื่อกี้มัวแต่หันมาตะโกนบอกให้เฟริดปล่อย เขาจึงไม่ทันเห็นว่าร่างอสูรของยูอิจิโร่กลับมาเป็นมนุษย์ปกติแล้ว ร่างนั้นหมดสติอยู่ในอ้อมแขนของชิโนะ กลุ่มเก็คคิรายล้อมร่างของยูอิจิโร่เอาไว้ สีหน้าเต็มไปด้วยความเป็นห่วง

 

มิกะขมวดคิ้วมุ่น รู้สึกขุ่นเคืองพวกมนุษย์ที่ทำให้ยูอิจิโร่เป็นแบบนั้น จำใจต้องปล่อยให้เฟริดลากตัวกลับไปอย่างไม่เต็มใจแม้จะยังโหยหาคนอันแสนคิดถึง

 

ชั่วพริบตานั้น มิกะสบสายตาเข้ากับนัยน์ตากลมโตสีน้ำตาลของหญิงสาวผมสีม่วง สายตานั้นเต็มไปด้วยความแน่วแน่ ปากเล็กเอ่ยพึมพำขมุบขมิบเสียงเบาที่ทำให้มิกะพออ่านปากได้ว่า

 

‘ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ’

 

แม้จะรู้สึกไม่ค่อยพอใจที่ต้องฝากฝังยูอิจิโร่ไว้กับพวกมนุษย์ แต่มิกะเองก็ไม่มีทางเลือกมากนัก เขาพึมพำเสียงเบาเหมือนพูดอยู่คนเดียว พร้อมปล่อยให้ร่างของยูอิจิโร่ลับสายตาไป

 

“ยูจัง ฉันจะต้องช่วยเธอให้ได้”

 

———————————————————–

[Tom&Jerry][JxT] คนสำคัญ

Title : คนสำคัญ

Fandom : Tom & Jerry

Pairing : Jerry X Tom

Rate : PG

Note : ตอนนี้เกิดจากแรงมโนล้วนๆค่ะ นั่งดูแล้วเกิดครั่นเนื้อครั่นตัวอยากแต่ง 55555

 

*************************

 

วันนี้คุณนายเกอร์ทูธไม่อยู่บ้าน….

 

 

แมวหนุ่มนึกครึ้มในใจ แลบลิ้นไล้เลียนมอุ่นในชามจนเกลี้ยง ก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูง แหงนมองเวลา นาฬิกาบอกเวลาสิบโมงเช้า นับว่าเป็นฤกษ์ดีทีเดียว

 

 

ขายาวก้าวพรวดไปยังรูหนูที่อยู่มุมห้อง วางกับดักหนูที่มีเนยแข็งติดเอาไว้ตรงปากทางเข้า ก่อนจะถอยหลังกลับไปหลบตรงมุมเสา คอยเฝ้ามองสถานการณ์อยู่ห่างๆ

 

 

มุมปากคลี่ยิ้มออกมาอย่างหุบไม่อยู่ ยามจินตนาการถึงตอนหนูตัวเล็กสีน้ำตาลโดนกับดักหนูหนีบเข้าดังผัวะ แค่คิดก็รู้สึกสนุกขึ้นมา นอกจากจะสามารถกำจัดคู่กัดไปได้แล้ว ยังเอาไว้อวดคุณนายเกอร์ทูธเพื่อเอาหน้าได้อีกต่างหาก

 

 

ขณะครุ่นคิดไปต่างๆนาๆอย่างอารมณ์ดี แมวตัวสูงโย่งที่หมอบคุดคู้หลบอยู่หลังเสาไม่ทันได้สังเกตเห็นหนูเจอร์รี่ที่ยืนห่างออกจากไปราวๆหนึ่งช่วงแขน เจอร์รี่ยืนกอดอกพลางส่ายศีรษะน้อยๆ ไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาเปรียบแมวตรงหน้าดี เอากับดักหนูมาวางไว้โต้งๆแบบนั้น จะมีหนูโง่ตัวไหน ยอมเข้าไปติดกับดักที่เห็นได้ชัดขนาดนั้นกัน หนูน่ะ… ไม่ได้สมองเล็กเหมือนขนาดตัวหรอกนะ

 

 

นั่นสิ… จะมีหนูโง่ที่ไหนยอมเข้าไปติดกับดักแบบนั้นกันล่ะ….

 

 

ยกเว้นก็แต่ หนูโง่ตัวนี้….

 

 

เจอร์รี่คิดอย่างระอาใจ รู้สึกเบื่อหน่ายตัวเองเหมือนกัน แต่ทำไงได้ ดันไปชอบไอ้เจ้าแมวทึ่มที่โคตรจะซื่อบื้อไม่มีใครเกิน ไอ้ครั้นจะให้บอกไปโต้งๆว่า ‘ชอบ’ ก็ดูจะผิดวิสัยเขาไปหน่อย

 

 

คิดแล้วก็เหนื่อย…

 

 

ขาเล็กเดินอ้อมไปด้านหลัง มุดเข้ารูหนูตรงมุมผนังอีกฝาก เจอร์รี่ขุดเจาะบล็อคอิฐด้านในเอาไว้จนเป็นโพรงกรวง ทางเดินด้านในจึงเชื่อมต่อกันไปทุกที่ เขามุดลอดออกมาจากรูที่เจ้าแมวโง่วางกับดักหนูหมายจะดักตัวเขา ก่อนจะแสร้งทำเป็นเพิ่งตื่น อ้าปากหาววอด พลางยกมือขึ้นปิดใบหน้า ปลายหางตาสังเกตกับดักหนู ในใจครุ่นคิดถึงท่วงท่าที่จะทำให้ปลายหางตัวเองแค่โดนหนีบเอาไว้อย่างหมิ่นเหม่

 

 

ผัวะ!

 

 

เสียงกับดักหนูดีดดังผัวะยามเจอร์รี่โค้งตัวลงแตะก้อนเนยแข็ง เส้นเหล็กหนาหนีบเข้ากับปลายหางของเขาอย่างหมิ่นเหม่อย่างที่ตั้งใจเอาไว้ ถึงแม้จะแค่ปลายหางแต่เอาเข้าจริงก็แอบเจ็บเล็กๆเหมือนกัน

 

 

นี่ถ้าไม่ใช่เขา จะมีหนูโง่ตัวไหนยอมให้เจ้าแมวโง่ตัวนี้จับอีกไหมเนี่ย…

 

 

ทอมวิ่งพรวดออกมาอย่างดีใจ ดวงตาสีเหลืองอำพันวาวระยับ ยกนิ้วดีดเอาเหล็กที่หนีบหางเจอร์รี่ออก พลางใช้อุ้งมือโอบรอบเจอร์รี่ขึ้นมา

 

 

“ฮ่าๆ คราวนี้แหละ แกเสร็จฉันแน่!” ทอมหัวเราะเต็มเสียงจนตัวสั่น

 

 

ใครจะเสร็จใครกันแน่…

 

 

เจอร์รี่ได้แต่ครุ่นคิดอยู่ในใจ พลางระบายรอยยิ้มออกมาทางสีหน้า

 

 

อดคิดไม่ได้ว่า อุ้งมืออุ่นของเจ้าแมวโง่นี่ให้ความรู้สึกดี จนบางครั้งนึกอยากให้ฝ่ามือนี้โอบรัดตัวเองเอาไว้อยู่ตลอดเวลา นี่คงเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่เจอร์รี่มักจะยอมให้ทอมจับอยู่บ่อยๆ

 

 

อีกทั้ง… เขาเองก็รู้ว่า ไอ้แมวทึ่มนี่ ไม่ได้คิดที่จะกำจัด หรือกินเขาอย่างที่พูดพร่ำปาวๆนั่นหรอก แน่นอนว่า ทอมไม่ได้ชอบเขาในความหมายเดียวกับที่เขาชอบทอม …ไม่ใช่ในฐานะเพื่อน ไม่ใช่ในฐานะคู่แข่ง แต่เป็นอะไรที่นอกเหนือจากนั้น เจอร์รี่คิดว่า สิ่งนั้น คงจะใกล้เคียงกับคำว่า… คนสำคัญ

 

 

แต่นั่นเป็นเพียงสิ่งที่เจอร์รี่คาดเดา โดยอาศัยสถานการณ์หรือเรื่องราวหลายๆอย่างที่ผ่านมา… เขาไม่รู้หรอก ว่าจริงๆแล้วทอมคิดอะไรอยู่กันแน่ …แต่ต้องมีสักวันหนึ่ง ที่เขาจะสามารถเข้าใจความคิดอีกฝ่ายได้อย่างแน่นอน

 

 

คงเพราะเห็นเขานิ่งเงียบไป ฝ่ามืออุ่นจึงคลายออก นัยน์ตาสีเหลืองอำพันหรี่มองตัวเขาอย่างนึกสงสัย พลางส่งเสียงทุ้มต่ำอย่างที่เจอร์รี่ได้ยินจนชินเอ่ยถาม “…เอ่อ นายไม่สบายเหรอ?”

 

 

ทอมคลายฝ่ามือ เปลี่ยนจากกำรอบลำตัวหนูตัวเล็ก เป็นแบมือออกให้เจอร์รี่ได้นั่งอยู่บนฝ่ามือสบายๆ ดวงตาของแมวตรงหน้าฉายแววเป็นกังวล

 

 

ก็เพราะทอมเป็นอย่างนี้ไง เขาถึงเลิกชอบเจ้าแมวทึ่มนี่ไม่ได้เสียที… ชอบวางท่าเป็นวายร้าย ทำตัวเกเร แต่แท้จริงแล้ว กลับอ่อนไหวเสียยิ่งกว่าใคร…

 

 

เจอร์รี่อดจุดยิ้มนิดๆขึ้นมาไม่ได้

 

 

“…นี่” น้ำเสียงนั่นฉายแววเป็นห่วงมากขึ้น สงสัยเจ้าแมวโง่คงนึกว่าเขาป่วยเข้าจริงๆแล้วกระมัง

 

 

“…ฉันไม่เป็นไร” เจอร์รี่ลุกขึ้นยืนอยู่กลางฝ่ามือ พลางส่งเสียงตอบ พวงหน้าเจ้าแมวตรงหน้าคลี่ยิ้มโล่งใจออกมาอย่างลืมตัว

 

 

เจอร์รี่จ้องมองรอยยิ้มที่ระบายอยู่ตรงนั้น เขารู้สึกอุ่นวาบในใจ กระพริบตากลมโตของตัวเองหนึ่งครั้งเสมือนตัดสินใจ ฝ่ามือที่กำก้อนเนยแข็งที่ได้มาจากกับดักหนูเงื้อขึ้น ก่อนจะปาแผละไปบนจมูกของแมวตรงหน้า

 

 

ทอมคล้ายตกใจและระคนดีใจในเวลาเดียวกัน

 

 

เจอร์รี่กระโดดแผล็วลงจากฝ่ามือของทอม พลางหมุนตัวกลับมาแลบลิ้นปลิ้นตาใส่ ก่อนจะเริ่มวิ่งหนี

 

 

เจอร์รี่ไม่ได้หันกลับไปมองใบหน้าทอมอีกครั้งหรอก แต่เขารู้ว่าใบหน้านั่นจะต้องระบายไว้ด้วยรอยยิ้มแสนสุข และรู้ว่าอีกไม่นานทอมจะต้องวิ่งไล่กวดเขามาอย่างแน่นอน

 

 

สำหรับในตอนนี้… สถานะ ‘คนสำคัญ’ ก็ไม่เลวเหมือนกัน

 

 

 

-END-

[Original-Fiction] กระดาษ

Title : กระดาษ
Rate : PG
Note : เป็นเรื่องที่แต่งเล่นๆค่ะ ไม่มีชื่อตัวละครหรืออะไรทั้งนั้น พอดีนึกถึงช่วงตอนเรียนม.ปลาย แล้วมักจะชอบมีเด็กปาเศษขยะใส่ถังขยะบ่อยๆ เลยเกิดอาการอยากเอาพล็อตนั้นมาใช้ขึ้นมาบ้าง 5555

—————————-

 

 

ชอบ….

 

 

คิ้วเรียวขมวดจนมุ่น พลางจ้องมองจดหมายที่เจ้าตัวเพิ่งได้รับมาเมื่อกี้นี้
จะเรียกว่าจดหมายก็คงไม่ถูกนัก น่าจะบอกว่า มันคือเศษกระดาษหนึ่งแผ่นมากกว่า เพราะกระดาษที่อยู่ในมือของเขาในตอนนี้มันทั้งยับยู่ยี่และเละเทะเต็มไปด้วยรอยรองเท้า ทว่า มีเพียงตัวอักษรสีดำคำว่า ‘ชอบ’ เท่านั้นที่เด่นชัดอยู่กลางกระดาษ

 

 

เขาเหลียวหลังกลับไปมองทางด้านหลังเพื่อหาตัวต้นเหตุที่ปากระดาษแผ่นนี้มาโดนเขา หากแต่ผู้คนที่เดินกันขวักไขว่อยู่เต็มโรงอาหารทำให้ระบุตัวคนทำยากนัก

 

 

‘ช่างมันเถอะ’ คิดในใจก่อนจะขยำกระดาษเป็นก้อนกลมๆ กระชับก้อนกระดาษเข้าฝ่ามือไว้จนแน่น หยีตาลงข้างหนึ่งเพื่อกะระยะ ก่อนจะขว้างไปสุดแรง กระดาษกลมก้อนน้อยๆพุ่งตรงไปยังเป้าหมายก่อนที่จะ….

 

 

“แปะ…โอ๊ะ!” ก้อนกระดาษที่น่าจะหล่นลงไปยังถังขยะกลับไปหยุดตรงจุดหมายตรงแผ่นหลังใครคนหนึ่ง ผู้ชายคนนั้นค่อยๆหันมาช้าๆ ใบหน้าขาวฉายแววงุนงง ก่อนจะก้มลงหยิบก้อนกระดาษกลมๆที่หล่นอยู่ตรงพื้นขึ้นมาอ่าน

 

 

‘ซวยแล้ว’ ตัวต้นเหตุคิด เขารีบก้มหน้าเสหลบสายตาของอีกคนที่กำลังกวาดสายตามองหาคนปา มือเรียวรีบคว้าจานข้าวที่กินเหลือไว้ครึ่งหนึ่งมาถือไว้ ก่อนจะรีบเดินก้าวสวบๆเอาไปเก็บตรงที่เก็บจานทันที ตาเรียวแอบเหลียวกลับมามองพลันสายตาก็ประทะเข้ากับสายตาอีกคนที่มองมาพอดี

 

 

“ตายแหง” พึมพำเสียงเบา ก่อนจะกึ่งเดินกึ่งวิ่งแหวกผู้คนหนีออกมา ได้ยินเสียงตะโกนเรียกดังตามหลังมาว่า ‘เดี๋ยวก่อน!’ ใครจะหยุดให้โง่วะ!?

 

 

“แฮ่กๆ” วิ่งมาจนถึงหลังอาคาร ร่างโปร่งยืนหอบพิงกำแพง ยกหลังมือขึ้นปาดเหงื่อที่ซึมออกมา

 

 

“นี่…” เสียงทุ้มดังขึ้นข้างตัว เขาผงะก่อนจะรีบเด้งตัวออกห่าง ขาเรียวตั้งใจว่าจะเดินหนีถ้าไม่ติดที่ถูกฝ่ามือหนาจับเอาไว้จนแน่น!?

 

 

“มะ…มีอะไร” กลั้นใจถามเสียงสั่น เขาไม่คิดหรอกนะว่าแค่ก้อนกระดาษเล็กๆ จะทำให้เจ็บอะไรนักหนา แต่มันก็อาจจะไม่แน่สำหรับผู้ชายคนนี้ ที่โด่งดังเรื่องทะเลาะวิวาท และพร้อมจะหาเรื่องได้ทุกเวลา จนมีเรื่องเข้าห้องปกครองได้ไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ นี่เขาไม่ได้กลัวหรอกนะ จริงๆ!?

 

 

“กระดาษนี่…” อีกฝ่ายชูมือที่ถือกระดาษขึ้น เขามองไปที่กระดาษก่อนจะกลั้นใจตอบ

 

 

“ขอโทษนะ ที่เราปาไปโดน เราไม่ได้ตั้งใจ เราจะปาลงถังขยะ” เขารีบรัวตอบอย่างไม่มีเวลาพักหายใจ

 

 

“ไม่ใช่อย่างนั้น….” อีกฝ่ายบอก

 

 

เขาเลิกคิ้วขึ้นก่อนจะถามต่อ “อ้าว…แล้วนายตามเรามาทำไม”

 

 

“ก็กระดาษเนี่ย..” อีกฝ่ายเว้นช่วงไว้นิดหนึ่ง ริมฝีปากสีชมพูส่งยิ้มให้เขาเล็กน้อยก่อนจะเริ่มพูดต่อ “ของฉันเอง”

 

 

“ห้ะ!?” เขาอุทานออกมาอย่างงงๆ นิ้วเรียวชี้ไปที่ก้อนกระดาษที่อยู่ในมืออีกฝ่าย “ของนาย”

 

 

อีกฝ่ายพยักหน้ารับน้อย ก่อนจะฉีกยิ้มกว้าง “ที่เรียกก็เพื่อจะมาบอกว่า ขอบคุณนะ”

 

 

“เอ่อ…ไม่เป็นไร งั้นช่วย…ปล่อยแขนเราก่อนได้มั้ย” เขาบอกเบาๆ อีกฝ่ายไม่ตอบหากแต่ยื่นใบหน้าเข้ามาใกล้ซะจนเขาต้องย่นคอหนี

 

 

“แล้วไม่คิดจะถามเราเหรอ ว่าทำไมกับอีแค่กระดาษใบเดียวมันถึงสำคัญกับเรานัก” ดวงตากลมสีน้ำตาลอ่อนของอีกฝ่ายสะท้อนกับแสงแดดจนเป็นประกายระยับ เขาเผลอจ้องมองดวงตานั้นโดยไม่รู้ตัวในขณะที่เปลี่ยนเป็นตอบคำถามด้วยคำถามแทน

 

 

“เอ่อ..แล้วเพราะอะไรถึงสำคัญล่ะ” อีกฝ่ายฉีกยิ้มกว้างอย่างพอใจก่อนจะเริ่มตอบ

 

 

“เพราะ…”

 

 

 

“เพราะ?”

 

 

 

“เพราะกระดาษแผ่นนี้เป็น ‘ที่ระลึกครั้งแรก’ ที่ทำให้เราได้คุยกับนายน่ะสิ!” เมื่อพูดจบร่างสูงตรงหน้าก็โผเข้ากอดเขาอย่างเต็มแรง เขายืนตัวแข็งปล่อยให้อีกฝ่ายโอบกอดอยู่อย่างนั้น พลางคิดทบทวนเรื่องต่างๆในหัวอย่างมึนๆ

 

 

 

=============================

 

 

 

 

“แล้วเจอกันพรุ่งนี้นะ” อีกฝ่ายส่งยิ้มให้เขาก่อนจะเดินกลับเมื่อมาส่งเขาถึงหน้าบ้าน เขาโบกมือไหวๆ ส่งให้จนแผ่นหลังของอีกฝ่ายลับหายไปในความมืด เขาถึงเดินเข้าบ้าน

 

 

เขานั่งลงบนเตียง ก่อนจะค่อยๆสอดมือเข้าไปใต้หมอนแล้วหยิบเอาหนังสือเล่มหนามาถือเอาไว้ในมือ ริมฝีปากสีแดงสดยกยิ้มน้อยๆ พึมพำกับตัวเองเบาๆ

 

 

“ได้ผลจริงๆด้วย”

 

 

บรรจงเก็บหนังสือสำคัญเข้าชั้นอย่างดี ก่อนจะเปิดลิ้นชักหัวเตียงแล้วหยิบเอาสมุดได้อารี่ขึ้นมาจดบันทึก

 

 

วันที่ xx เดือน xx

 

วันนี้ได้คุยกับ เขาคนนั้น ด้วย แสดงว่าหนังสือได้ผล

ตาเรียวเหลือบไปมองหนังสือบนชั้นอีกครั้ง ยิ้มกับตัวเองน้อยๆก่อนจะเริ่มเขียนต่อ

 

 

 

…………………………………………………………

 

 

 

‘ในที่สุดวันนี้ก็กล้าเข้าไปคุยจนได้’ เขานั่งคิด ยกมือขึ้นเท้าคางดวงตาเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง ก่อนจะค่อยๆล้วงเข้าไปหยิบเอาก้อนกระดาษออกมาจากกระเป๋ากางเกง ริมฝีปากสีชมพูยกยิ้มขึ้น

 

 

 

ตากลมเหลือบไปมองหนังสือเล่มหนาที่วางอยู่บนชั้นหนังสือ หนังสือที่เขาไปเจอที่ร้านหนังสือเก่าเมื่อหลายอาทิตย์ก่อน ซึ่งคุณยายเจ้าของร้านโฆษณานักหนาว่าได้ผลอย่างนั้นได้ผลอย่างนี้ เขาเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งแต่ก็ตัดใจซื้อมาลอง

 

 

 

ต้องยอมรับว่ามันได้ผลจริงๆ เขาอมยิ้มก่อนจะหันกลับมาจ้องมองท้องฟ้ายามราตรีต่อ หนังสือเล่มหนาบนชั้นเล่มเป็นสีน้ำเงินมอๆไม่โดดเด่นหากแต่ชื่อหนังสือที่อยู่ตรงสันกลับเด่นชัดสลักไว้ด้วยตัวอักษรสีทองว่า

 

 

 

‘หนังสือทำเสน่ห์’

 

 

 

………………………………………………………………….

 

 

 

“ทำอะไรอยู่น่ะยาย” เด็กชายตัวเล็กขยี้ตาตัวเองอย่างงัวเงียพลางส่งเสียงถามคุณยายที่นั่งเขียนอะไรยุกยิกๆใส่เศษกระดาษ

 

 

 

“ยายกำลังจะแก้หนังสือนิดหน่อยน่ะ ยายคิดว่าคาถาสองอันนี้มันดูเว่อร์ๆไปหน่อย เดี๋ยวคนเขาจะไม่เชื่อ” หญิงสาวร่างท้วม ใบหน้าเหี่ยวย่นตามอายุขัยหันมาตอบหลานชาย

 

 

 

“อะไรน่ะ คาถาทำเสน่ห์บทที่เก้า ให้เขียนคำว่า ‘ชอบ’ ลงในกระดาษ แล้วเอาไปให้คนที่ชอบ ซึ่งทำยังไงก็ได้ไม่ให้อีกฝ่ายรู้ว่าใครเป็นคนให้ แล้วก็ต้องหาวิธีที่จะทำให้ได้รับกระดาษแผ่นนั้นคืนมาเป็นของตนไม่ว่าจะโดยวิธีอะไรก็ตาม ถ้าทำอย่างนี้แล้วจะสมหวังเรื่องความรักกับคนๆนั้นทันที หนังสืออะไรเนี่ย!?” เด็กชายร้องเสียงหลงทันทีที่อ่านจบ

 

 

 

“ก็เคล็ดลับสร้างรักไงล่ะ เอ้า! ไหนๆก็มาแล้ว ช่วยกันแก้อันนี้หน่อยสิ” นิ้วมือเหี่ยวย่นชี้ไปยังหัวข้อในกระดาษที่วางไว้อย่างเกะกะ

 

 

 

“คาถาทำเสน่ห์บทที่สามสิบ ให้เขียนคำว่าชอบลงในกระดาษสีชมพู แล้วให้นำกระดาษแผ่นนี้ไปให้คนที่ชอบ ทำยังไงก็ได้ให้อีกฝ่ายพกกระดาษแผ่นนี้ติดตัวไว้ตลอดหนึ่งสัปดาห์ แล้วเขาคนนั้นก็จะเข้ามาหาคุณเอง โห…โคตรจะไม่น่าเชื่อถือเลย จะมีใครหน้าไหนที่กล้าทำตามเนี่ย” เด็กชายบ่นอุบอิบ

 

 

 

“ฉันถึงได้จะแก้อยู่นี่ไงเล่า! อย่าพูดมากเลย มาช่วยฉันคิดดีกว่า”

 

 

 

……………

…………

……….

……

 

 

กระแสลมกรรโชกจากหน้าต่างที่เปิดค้างไว้ส่งผลให้กระเป๋านักเรียนที่วางหมิ่นเหม่อยู่บนโต๊ะเขียนหนังสือหล่นลงมากระแทกกับพื้น ท่ามกลางหนังสือเรียนยับยู่ยี่ เศษขนม และเศษกระดาษต่างๆซึ่งกระจายออกมาจากปากกระเป๋าที่รูดซิปไม่สนิทตามแรงโน้มถ่วงของโลก กระดาษการ์ดสีชมพูอ่อนขนาดเล็กเท่านามบัตรแผ่นหนึ่ง กำลังส่องประกายวาบวับย้อกับแสงจันทร์ที่ลอยเด่นอยู่ยามราตรี…………

 

 

 

 

=====================