[Owari no Seraph][Mika x Yu]You give meaning to my life [2]

Title : You give meaning to my life

Fandom : Mika x Yu

Rate : PG

Note : ดองไว้นานจัด เอามาปัดฝุ่นแต่งต่อ ยังไม่ชัวร์เลยว่าจะแต่งเป็นเรื่องยาวดีมั้ย ใจจริงอยากใส่คู่รองอย่างชินยะxกุเร็นไปด้วย แต่นิยายเพิ่งอ่านไปแค่นิดเดียวเอง แถมยังอ่านมังงะไม่ถึงไหนเลยค่ะ 555555

เอาเป็นว่าเจอกันวันจันทร์หน้านะคะทุกคนนนนนนน

——————————————————————————————-

 

“เห…ถูกจับตามองอยู่นะเนี่ย” เฟริดคลี่ยิ้มพร้อมลดมือที่ถือกล้องส่องทางไกลลง

 

“ถูกจับตามอง?” มิกะส่งเสียงถามอย่างไม่ใส่ใจเท่าไหร่นัก  

 

“ก็กองทัพอสูรจักรวรรดิญี่ปุ่นน่ะสิ มารวมตัวกันเหมือนหนูติดจั่นเลยล่ะ แหม….ตื่นเต้นจังเลย คราวนี้คงได้ปศุสัตว์มาเยอะน่าดู” เฟริดแลบลิ้นเลียริมฝีปาก

 

มิกะไม่ได้สนใจฟัง เขาเหม่อมองสีของท้องฟ้าซึ่งกลายเป็นสีส้มขมุกขมัวอันเป็นผลมาจากแรงปะทะระหว่างมนุษย์กับแวมไพร์ และกลุ่มควันจากแรงระเบิด

 

“ไปกันเถอะ” มิกะกระชับดาบในมือแน่น เถาหนามสีแดงพันเลื้อยจากปลายด้ามจับก่อนจะพันรอบข้อมือผู้เป็นเจ้าของพร้อมดูดกลืนโลหิต…..

 

 

ดาบในมือกวัดไกวอย่างไม่ออมแรง ดวงตาสีฟ้ากระจ่างใสหากแต่แฝงความเยือกเย็นจดจ้องใบหน้าของมนุษย์ผู้ตกเป็นเหยื่อ แม้จะจนมุมหากแต่ใบหน้าเปรอะเปื้อนไปด้วยเศษฝุ่นและบาดแผลเหวอะหวะกลับยังคงยกรอยยิ้มอยู่ที่มุมปากพร้อมกับพึมพำเสียงเบาเหมือนพูดอยู่คนเดียว

 

“หึ มาได้แค่นี้เองเหรอเนี่ย”  

 

มิกะไม่สนใจน้ำเสียงอ่อนแรงนั้น เขาเพียงมองเหยื่อตรงหน้าด้วยสายตาเย็นชา “ตายซะ เจ้ามนุษย์”  

 

“กุเร็น!” น้ำเสียงตะโกนก้องอย่างร้อนรน และเสียงฝีเท้าอีกหลายคู่กำลังวิ่งเข้ามาใกล้  

 

“แก!! แกทำอะไรกุเร็น!?”

 

มิกะจับกระชับปลายดาบซึ่งเสียดแทงเข้าตรงอกกุเร็น ก่อนถอนหายใจออกมาเล็กน้อย “มีมาเพิ่มอีกแล้วเหรอเนี่ย รีบๆ ไปตายซะให้….” พูดยังไม่ทันจบประโยคเขาก็ต้องเบิกตากว้างอย่างตกใจเป็นจังหวะเดียวกับที่ดาบในมือมนุษย์ตรงหน้าซึ่งเสียดแทงเข้ามาในช่องท้องของเขาจนทะลุ

 

“มะ มิกะ……” มนุษย์ผมสีดำนัยน์ตาสีเขียวสดใสเบิกกว้างราวกับตกใจ  

 

“……ยูจัง” มิกะพึมพำออกมาพร้อมก้อนเลือดที่ไหลรวมมาจุกอยู่บนคอหอยจนไหลย้อนออกมาตามริมฝีปาก

 

“มัวทำอะไรอยู่! รีบจัดการมันสิวะ!!” เสียงพันโทกุเร็นดังขึ้นเรียกสติของยูอิจิโร่ให้กลับคืนมา หากแต่มือเขาที่จับกระชับดาบแน่นกลับแข็งทื่อไม่ยอมขยับ

 

“ปัดโธ่เว้ย!” กุเร็นดึงดาบที่แทงอกตัวเองออกและเป็นฝ่ายพุ่งพรวดเข้าไปเพื่อจู่โจมแวมไพร์ตรงหน้าเสียเอง หากแต่อีกฝ่ายไม่ยอมให้เป็นอย่างนั้น เขาสะบัดดาบขึ้นมาตั้งรับคมดาบที่ฝ่ายตรงข้ามฟาดฟันลงมา ก่อนกระโดดถอยหลังเพื่อให้หลุดจากพันธนาการจากดาบของยูอิจิโร่ที่เสียบทะลุช่องท้องของตัวเอง เลือดสีแดงเข้มทะลักพรวดออกมาเป็นสายยามเขากระโดดผลุงไปเบื้องหลัง

 

ยูอิจิโร่ยังคงยืนนิ่งอึ้งอย่างจับต้นชนปลายไม่ถูก นัยน์ตาสีเขียวสดจ้องมองปลายดาบของตัวเองที่อาบย้อมไปด้วยเลือดสีแดงข้น  

 

 

ผัวะ!

 

 

“แกทำอะไรของแก!? ทำไมไม่จัดการมันตอนที่มีโอกาส นี่มันสนามรบนะเว้ย!” กุเร็นพุ่งเข้ามาต่อยยูอิจิโร่เต็มแรงจนหน้าหัน  

 

“ยูซัง….” หญิงสาวผมสีม่วงผู้มีนามว่าชิโนะพึมพำเรียกยูอิจิโร่อยู่ไม่ไกล

 

ยูอิจิโร่หันไปมองเพื่อนร่วมทีมคนอื่น ทั้งร่างเขาสั่นระริก เอ่ยคำพูดออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นๆ “…..ครอบครัวของฉันอยู่ในกลุ่มแวมไพร์”  

 

เพื่อนร่วมทีมหันไปมองทิศทางฝั่งตรงข้ามอย่างตกใจ แวมไพร์ผมสีทองนัยน์ตาสีฟ้าที่นั่งกุมท้องอยู่อีกฝากนั่นคือ ครอบครัวของยูอิจิโร่!

 

เฟริดกระโดดแผล็วลงมายืนข้างมิกะ แอบก้มลงมองคนที่นั่งคุกเข่าอยู่กับพื้นกุมท้องตัวเองที่มีเลือดไหลอาบ ก่อนเหลือบมองไปทางกองทัพอสูรจักรวรรดิญี่ปุ่นที่อยู่ฝั่งตรงข้าม พลันรอยยิ้มมาดร้ายก็จุดขึ้นที่มุมปาก

 

“โอ๊ะโอ๋ว นั่นมัน…..”  

 

มิกะยังคงจดจ้องไปยังฝั่งตรงข้ามไม่วางตา คนที่เขาเฝ้าหามาร่วมแปดปียังคงมีชีวิตอยู่ท่ามกลางเหล่ามนุษย์ ความดีใจตีรวนขึ้นมาในอกจนไม่อาจบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้

 

“นายคือมิกะงั้นเหรอ!” เสียงหนึ่งตะโกนขึ้นมาจากทิศทางที่มิคาเอลล่ามองอยู่ ยูอิจิโร่ตะโกนถามเขาพร้อมด้วยน้ำตาที่ไหลพรากลงมาตามแก้มใส “มะ มิกะ…!”

 

“ยูจัง……” มิกะเองก็น้ำตาลซึมอยู่ที่ปลายหางตาเช่นกัน  

 

“หวา….อะไรเนี่ยไอ้ท่าทางน่ารักแบบนั้น” เฟริดยกมือขึ้นปิดปากประหนึ่งซาบซึ้งใจ ก่อนจะก้มลงกระซิบข้างหูมิกะอย่างนึกสนุก “แล้วจะเอายังไงต่อดี?”

 

มิกะยังคงจดจ้องยูอิจิโร่ไม่วางต่อ เอ่ยพูดเสียงราบเรียบหากแต่แฝงไว้ด้วยความมุ่งมั่น “ผมจะช่วยยูจังออกมาจากพวกมนุษย์”  

 

“แหม ฉันจะให้ยืมมือก็ได้นะ?” เฟริดพูดติดตลก แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ขำด้วย มิกะลุกขึ้นยืนพร้อมกับกระชับดาบในมือแน่น  

 

“ยังหยิ่งยโสเหมือนเดิมเลยน้า ระวังไว้เถอะ เดี๋ยวไอ้ความโอหังนั้นจะกลับมาเล่นงานตัวเธอเอง” เฟริดได้แต่ไหวไหล่อย่างไม่ใส่ใจนัก ก่อนจะถือดาบและเดินนำหน้ามิกะ  

 

“เอาล่ะ เดี๋ยวฉันจะช่วยกำจัดมนุษย์คนอื่นให้ ระหว่างนั้นเธอก็ไปชิงตัวเจ้าหญิงของเธอมาซะนะ”  

 

พันโทกุเร็นซึ่งตระหนักได้ว่าฝ่ายกองทัพอสูรจักรวรรดิญี่ปุ่นไม่มีทางเอาชนะเผ่าพันธุ์แวมไพร์ได้ในตอนนี้จึงตะโกนสั่งการเสียงลั่น “ถอยทัพ!”

 

เหล่าสมาชิกกลุ่มเก็คคิขยับเตรียมถอยทัพตามคำสั่งของผู้บัญชาการแม้จะยังรู้สึกหงุดหงิดอยู่ลึกๆ ที่ไม่อาจทำอันตรายให้แก่เผ่าแวมไพร์ได้ หากแต่ยูอิจิโร่ยังคงยืนแน่นิ่งอยู่ที่เดิม ดวงตาสีเขียวยังคงจ้องมองไปยังทิศทางซึ่งมีร่างคุ้นตาปรากฏอยู่

 

“ยูซัง” ชิโนะเอ่ยเรียกยูอิจิโร่ พร้อมกับเดินเข้าไปหาด้วยความเป็นห่วง

 

“…..มัวทำบ้าอะไรอยู่! บอกให้ถอยทัพไง!” กุเร็นตะคอกเสียงดัง ก่อนจะกระโดดพรวดเข้ามารับดาบของเฟริดที่พุ่งเป้ามาหายูอิจิโร่ “ รีบไปสิวะ!”  

 

ยูอิจิโร่ลนลานเมื่อเห็นภาพที่กุเร็นพยายามยกดาบขึ้นต่อต้านเฟริดด้วยแขนที่สั่นระริก เฟริดยังคงไว้ด้วยสีหน้าจุดยิ้มตรงมุมปากอย่างไม่ทุกข์ร้อน

 

“ยูซัง รีบไปกันเถอะค่ะ” ชิโนะเขย่าแขนของยูอิจิโร่เพื่อเรียกสติ แม้จะยังคงลังเลอยู่ แต่สุดท้ายก็ตัดสินทิ้งกุเร็นไว้ด้านหลัง ก่อนวิ่งไปพร้อมชิโนะ

 

เฟริดยกเท้าขึ้นเตะท้องน้อยของกุเร็นเต็มแรง จนร่างสูงโปร่งทรุดลงไปนอนกองกับพื้น สำรอกเลือดสีแดงสดออกมาหนึ่งคำ แวมไพร์ผมสีเงินคลี่ยิ้มกว้างกระโดดพรวดเดียวมาหยุดตรงหน้าร่างของยูอิจิโร่

 

“ไม่ให้หนีหรอกนะ เจ้าหญิงน้อย”  

 

ยูอิจิโร่กัดฟันกรอด เบี่ยงตัวเพื่อหลบไปอีกทางเพื่อแยกจากชิโนะเพราะรู้ว่าเฟริดเล็งตัวเขาอยู่ แม้เขาจะใส่แรงวิ่งสุดฝีเท้า หากแต่ยังไม่เท่าความเร็วของแวมไพร์ เฟริดไล่กวดแผ่นหลังของยูอิจิโร่มาแบบสบายๆ ก่อนยกมือขึ้นจับบ่าของเหยื่อตัวน้อยเอาไว้แน่น

 

“ก่อนอื่นก็ขอลองชิมเลือดดูสักหน่……” พูดยังไม่ทันจบประโยคดี ดาบคมกริบก็ตวัดเข้าที่ต้นแขนข้างที่จับบ่าของยูอิจิโร่ ต้นแขนของแวมไพร์ผู้ก่อตั้งลำดับที่สิบสามอย่างเฟริดปลิวกระเด็น ผู้เป็นเจ้าของแขนรีบพรวดไปรับแขนตัวเองที่กระเด็นไปไกลเอาไว้พร้อมบ่นอุบอิบ

 

“ก็แค่ล้อเล่นเองน่า ไม่เห็นต้องโกรธขนาดนั้นเลยนี่” เฟริดถือแขนตัวเองไว้แบบสบายๆ ขัดกับสีหน้าเดือดดาลของมิกะคนร่างสูงโปร่งกระโดดพรวดเดียวมาอยู่เบื้องหน้าคนที่เขาเฝ้าถวิลหา ยูอิจิโร่เงยหน้าสบนัยน์ตาสีฟ้ากระจ่างใสอย่างคิดถึงเช่นกัน  

 

“ยูจัง ทิ้งทุกอย่างแล้วหนีไปกับผมเถอะนะ” มิกะยื่นมือส่งให้ แต่ยูอิจิโร่กลับขมวดคิ้วมุ่นอย่างไม่เข้าใจประโยคนั้น

 

“หมายความว่ายังไง?”  

 

“ตอนนี้อย่าเพิ่งถาม รีบไปกันก่อน”  

 

“เหวอออ” ยูอิจิโร่หน้าเหรอหราเมื่อถูกแขนผอมบางตวัดเข้าที่ใต้ข้อพับและอุ้มเขาในท่าเจ้าสาวได้อย่างสบายๆ มิกะกระโดดพรวดเดียวก็ไปถึงดาดฟ้าบนตึกรกร้าง ความเร็วที่ไม่ธรรมดาเริ่มทิ้งระยะให้ห่างออกจากกลุ่มเก็คคิและเหล่าแวมไพร์ออกมาเรื่อยๆ  

 

“มิกะ ปล่อยฉัน!” ยูอิจิโร่ดิ้นปัดป่าย สะบัดแขนอย่างแรงจนไปกระแทกใบหน้าหล่อเหลาของมิกะ อ้อมแขนที่กอดกระชับร่างอีกคนอยู่เริ่มคลายออกเพราะตกใจ เป็นผลให้ยูอิจิโร่ได้โอกาสกระโดดผลุงลงจากอ้อมแขนอีกฝ่ายมายืนอยู่บนพื้น

 

“ที่บอกให้ทิ้งทุกอย่างนี่หมายความว่ายังไง?” ยูอิจิโร่หันมาถามด้วยสีหน้าจริงจัง คิ้วขมวดมุ่นเหมือนไม่เข้าใจ  

 

มิกะทำสีหน้ากระอั่กกระอ่วนคล้ายลำบากใจ ก่อนเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ยูจังกำลังถูกมนุษย์พวกนั้นหลอกใช้อยู่นะ….”  

 

“หา? นายพูดบ้าอะไร คนพวกนั้นเป็นคนช่วยฉันเอาไว้นะ”  

 

“เถอะนะยูจัง เชื่อผมสักครั้งเถอะนะ” มิกะอ้อนวอนด้วยสีหน้าทุกข์ทรมาน ตัวเขาเองไม่ได้ชอบแวมไพร์ แต่ก็ไม่ได้ชอบมนุษย์ด้วยเช่นเดียวกัน

 

“ขอโทษนะมิกะ แต่ฉันไปไม่ได้ เจ้าพวกนั้นก็คือครอบครัวของฉันเหมือนกัน…..” ยูอิจิโร่บอกด้วยสีหน้าเป็นกังวล เขาตั้งใจจะหันหลังเพื่อมุ่งกลับไปยังทิศทางที่จากมา  

 

“อย่าไปนะยูจัง! ที่นั่นไม่มีอะไรน่าดูหรอก ไปด้วยกันกับผมเถอะ!” มิกะเอื้อมมือมาจับไหล่ยูอิจิโร่เอาไว้ไม่ให้หันกลับไปมองด้านหลัง  

 

“ปล่อยนะมิกะ!” ยูอิจิโร่ดิ้นปัดป่ายเต็มแรง ทันทีที่เขาดิ้นหลุดจากมือที่กอบกุมไหล่เอาไว้ได้พร้อมกับหันไปมองด้านหลังดวงตาสีเขียวกระจ่างใสก็ต้องเบิกกว้าง  

 

ภาพตรงหน้าช่างโหดร้ายจนใจของยูอิจิโร่เต้นตุบ ตอนนี้ฝ่ายกองทัพอสูรจักวรรดิญี่ปุ่นกำลังเพลี่ยงพล้ำ กลุ่มเก็คคิ ทั้งชิโนะ ทั้งพันโทกุเร็น รวมถึงคนอื่นๆ กำลังต่อสู้กับเหล่าแวมไพร์กันสุดกำลัง แต่ด้วยพละกำลังที่ต่างกัน ทุกคนจึงพ่ายแพ้ให้แก่แวมไพร์ ลำคอขาวๆ ตกเป็นเหยื่อของคมเขี้ยวที่ฝังลงมา เห็นเลือดสีแดงสดไหลเป็นทางยาว  

 

“….ทะ ทุกคน” ยูอิจิโร่ปากสั่นระริก เขารู้สึกเหมือนเห็นภาพของทุกคนตอนนี้ไปซ้อนทับกับภาพอดีต ร่างไร้ลมหายใจของครอบครัวจากสถานรับเลี้ยงเด็กเฮียคุยะ เลือดสีแดงสดที่ไหลเจิ่งนองไปทั่วพื้นสีขาว ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่หยาดน้ำตารื้นขึ้นมาที่ปลายหางตา ยูอิจิโร่เริ่มเดินไปข้างหน้าเหมือนคนไร้สติ และในจังหวะนั้นเองที่ชิโนะเหลือบมาสบตากับยูอิจิโร่  

 

คมเขี้ยวของแวมไพร์ที่ฝังอยู่ตรงต้นคอขาวสร้างความเจ็บปวดให้เธอจนแทบหมดสติ หยดน้ำตาเม็ดกลมไหลกลิ้งจากดวงตากลมโตยามได้เห็นเพื่อนร่วมทีมที่เธอไว้ใจ ปากเล็กขยับพึมพำเสียงเบาไร้เรี่ยวแรง

 

“ยูซัง….”  

 

“ชิโนะ!!” ยูอิจิโร่พุ่งตัวเข้าไปเมื่ออ่านปากเล็กที่ขยับพึมพำนั้นได้ ใจเต้นตึกตักด้วยความหวาดกลัว กลัวว่าจะสูญเสียครอบครัวไปอีกครั้ง หากแต่ยังไม่ทันก้าวไปได้มากเท่าไหร่ อ้อมกอดอบอุ่นก็พรวดเข้ามาสวมกอดกระชับจากทางด้านหลัง

 

“ยูจัง อย่าไปนะ! ไม่ต้องไปสนใจตรงนั้น ที่นั่นไม่มีอะไรให้เธอต้องสนใจ!” มิกะกอดร่างในอ้อมแขนแน่น ก้มหน้าซบลงกับบ่าที่เล็กกว่าเขานิดหน่อย ไม่สนแรงดิ้นขลุกขลักและเสียงตะคอกที่บอกให้ปล่อย เขาตัดสินใจไว้แล้วว่าจะไม่มีวันปล่อยคนๆนี้ไปอีกแล้ว

 

“มิกะปล่อยฉัน! ฉันต้องไปช่วยครอบครัวของฉัน!”  

 

แรงที่ดิ้นพล่านหยุดชะงักเมื่อเห็นมืออ่อนแรงของชิโนะทิ้งลงข้างลำตัว ดวงตากลมโตสุกใสค่อยๆ ปิดลง

 

ในวินาทีนั้น ยูอิจิโร่รู้สึกเหมือนเห็นโลกเป็นสีดำมืด เสียงกรีดร้องที่ไม่รู้ว่าออกมาจากปากของเขาเอง หรือออกมาจากจิตใต้สำนึกของตัวเขาดังก้องอยู่ในหู ทั้งร่างสั่นริกจนควบคุมไม่ได้ เขารู้สึกตาทั้งสองข้างร้อนผ่าวเหมือนมีใครเอาไฟมาเผา อะไรบางอย่างพยายามจะดันตัวออกมาจากแผ่นหลังข้างขวา ได้ยินเสียงเสื้อผ้าขาดดังแคว่กและเสียงฉีกกระชากของกล้ามเนื้อ ปีกสีดำขมุกขมัวข้างหนึ่งงอกออกมาจากแผ่นหลังที่ร้อนผ่าว มิกะที่พยายามกอดร่างซึ่งกำลังจะกลายเป็นตัวอะไรสักอย่างเอาไว้แน่นถูกแรงมหาศาลผลักออกจนร่างโปร่งของเขากระเด็นลงไปนอนกองกับพื้น

 

“…ยูจัง” มิกะตาเบิกกว้างเมื่อเห็นดวงตาสีเขียวสุกใสของคนตรงหน้าแปรเปลี่ยนเป็นสีดำ และแก้วตาเปลี่ยนเป็นสีแดงเลือดราวกับปีศาจรัตติกาล

 

ร่างกึ่งปีศาจของยูอิจิโร่โผบินด้วยความเร็วมหาศาลจนน่าตกใจ เพียงชั่วพริบตาทั้งร่างก็ไปโผล่อยู่ต่อหน้าแวมไพร์ตัวการที่กำลังก้มดูดเลือดชิโนะซึ่งหมดสติไปแล้ว เพียงแค่สะบัดมือเบาๆ สายลมประหนึ่งพายุก็สาดพัดร่างของแวมไพร์ตนนั้นให้ลอยกระเด็นไปกระแทกกับตึกที่ห่างออกไปจนตึกนั้นพังทลายลงมา

 

กุเร็นคลี่ยิ้มพึงพอใจเมื่อเห็นสภาพของยูอิจิโร่ ตาคมเหลือบมองเฟริดที่อ้าปากกว้างกำลังก้มลงเตรียมกัดต้นคอของเขา เฟริดหยุดการกระทำทุกอย่างและหันไปมองร่างกึ่งปีศาจนั้น แม้สีหน้าจะยังคงแต้มรอยยิ้มไม่ทุกข์ร้อนหากแต่ภายในใจกลับรู้สึกตื่นเต้นแบบแปลกๆ เมื่อเห็นของเล่นชิ้นใหม่ที่พวกมนุษย์สร้างขึ้น

 

“เห….นั่นมันตัวอะไรน่ะ?” เฟริดเอ่ยถามกุเร็นโดยที่ยังไม่ละสายตาไปจากร่างของยูอิจิโร่ ตาสีแดงฉายแววตื่นเต้นทุกครั้งที่เห็นยูอิจิโร่จัดการเหล่าแวมไพร์ที่ตั้งท่าจะเข้ามาจู่โจมได้ด้วยการสะบัดมือเพียงครั้งเดียว

 

“หึ ในที่สุดก็ตื่นขึ้นแล้วสินะ ทุกอย่างเป็นไปตามแผน” กุเร็นฉีกยิ้มกว้าง แม้ใบหน้าจะเต็มไปด้วยบาดแผล แต่ก็ยังคงปกปิดความดีใจบนสีหน้านั้นเอาไว้ไม่มิด

 

เฟริดขมวดคิ้ว ตาคมเบิกกว้างเมื่อสัมผัสได้ถึงสายตาของมนุษย์คนหนึ่งที่อยู่บนตึกพร้อมด้วยปืนที่กำลังเล็งมาทางเขา เขารีบผละออกห่างจากร่างของกุเร็นอย่างรวดเร็ว

 

“ว้า รู้ตัวซะแล้วเหรอเนี่ย” ชินยะที่เล็งเป้าหมายอยู่บนตึกถอนหายใจออกมาอย่างเสียดาย แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก

 

มิกะไล่ตามหลังยูอิจิโร่มาติดๆ เขากัดฟันกรอดจนสันกรามนูนเด่น รู้สึกเจ็บใจและเคียดแค้นเหล่ามนุษย์ที่ทำให้ยูจังของเขาเป็นแบบนี้

 

เห็นได้ชัดว่ายูอิจิโร่ไม่ได้สติ ร่างกึ่งปีศาจที่พุ่งเข้าทำร้ายแวมไพร์ด้วยพละกำลังมหาศาลนั้นดูคล้ายปีศาจที่ทำตามสัญชาตญาณการเอาตัวรอด ร่างนั้นทำร้ายแม้แต่กองทหารจากกองทัพอสูรจักวรรดิญี่ปุ่นด้วยกันเอง ชิโนะปรือตาตื่นขึ้นมาเนื่องจากได้รับผลกระทบจากแรงกระแทกของเศษหินและเศษปูนจากตึกที่กำลังพังทลายร่วงเข้าใส่ เธอมองเห็นร่างของยูอิจิโร่ที่มีปีกสีดำขมุกขมัวน่ากลัว ดวงตาสีดำนัยน์ตาแดงก่ำเหมือนเลือด

 

จังหวะที่สายตาของเธอสบเข้ากับดวงตาของอีกฝ่าย ชิโนะก็ต้องสะดุ้งโหยงสุดตัวเมื่ออยู่ดีๆ ร่างนั้นก็พรวดเข้ามา ดาบอสูรในมือเตรียมพุ่งเข้าเสียบร่างเธออย่างไม่ลังเล

 

 

สวบ!!

 

 

ชิโนะหลับตาแน่นเตรียมรับความเจ็บปวดที่กำลังจะเกิดขึ้น หากแต่กลับต้องขมวดคิ้วเมื่อไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวด เมื่อลืมตาขึ้นก็ต้องตกใจอีกระรอกทันทีที่เห็นแวมไพร์ระดับขุนนางผมสีทอง คนเดียวกับที่ลักพาตัวยูอิจิโร่ไปเมื่อกี้ใช้ทั้งร่างเข้ารับคมดาบแทนเธอ

 

ดาบอสูรเสียบทะลุร่างของมิกะ เลือดสีแดงสดไหลหยดจากปลายแหลมของดาบที่ทะลุออกมาจากช่องท้อง มิกะขมวดคิ้วมุ่น พยายามกัดฟันอดทนต่อความเจ็บปวดที่เกิดขึ้น

 

“ยูจัง….” น้ำเสียงแหบแห้งเอ่ยเรียกคนไม่ได้สติเจ้าของดาบที่กำลังแทงเขาอยู่ เลือดสีแดงสดไหลออกมาจากมุมปาก

 

ชิโนะรู้สึกตกตะลึงที่แวมไพร์พุ่งเข้ามาปกป้องตน ปากเล็กสั่นระริก ทำท่าจะเอ่ยประโยคบางอย่างออกมา “คะ คุณ……”

 

“หุบปากเจ้ามนุษย์ ฉันไม่ได้จะช่วยแก ฉันแค่ไม่อยากให้ยูจังเสียใจทีหลังก็แค่นั้น” มิกะพูดรอดไรฟัน บาดแผลตรงช่องท้องรุนแรงเสียจนเขาเริ่มตาพร่า เขากัดฟันแน่นจนสันกรามนูนเด่น ก่อนเอ่ยประโยคต่อมา “เพราะยูจังบอกว่าพวกแกคือครอบครัว……”

 

ชิโนะเบิกตากว้าง เธอมองแวมไพร์ตรงหน้าสลับกับร่างกึ่งอสูรด้านหลัง เลือดสีแดงก่ำที่ไหลท่วมเสื้อสีขาวของแวมไพร์ตรงหน้าทำให้ชิโนะตัดสินใจกระโดดพรวดเข้าไปกอดร่างของยูอิจิโร่เอาไว้

 

“ยูซัง! ได้สติเถอะค่ะ! คนๆ นี้คือครอบครัวของยูซังไม่ใช่เหรอคะ!?” ชิโนะตะโกนเสียงดังลั่น ร่างของยูอิจิโร่เหมือนชะงักไปแวบหนึ่ง นัยน์ตาปีศาจไหวริกคล้ายพยายามต่อสู้กับตัวเอง

 

“อ๊ากกกกกกก” เสียงแหบแห้งกรีดร้องออกมาอย่างน่าสงสาร มือที่กระชับดาบปล่อยออก ทั้งร่างดิ้นปัดป่ายอย่างเจ็บปวด แม้จะเจ็บแสบตอนโดนเล็บข่วนแต่ชิโนะก็ยังอดทนกอดร่างยูอิจิโร่เอาไว้ไม่ยอมปล่อย ปากเล็กเรียกชื่ออีกฝ่ายซ้ำๆ เพื่อให้ได้สติ

 

“ยูซัง! ยูซัง!”

 

มิกะทรุดลงไปกองกับพื้น ถุงมือสีขาวอาบย้อมไปด้วยสีแดงฉาน เขาเอื้อมไปดึงดาบที่ปักทะลุท้องตัวเองออกในพรวดเดียวจนเลือดสาดกระเซ็นไปตามพื้น เขารู้สึกไม่พอใจจนเกิดประกายกร้าวที่นัยน์ตาตอนเห็นชิโนะเข้าไปสวมกอดยูอิจิโร่ หากแต่ตอนนี้เองเขาก็ไร้เรี่ยวแรงจะเข้าไปต่อต้านอะไรได้เช่นกัน

 

“ยูจัง….” มิกะพยายามจะยันตัวขึ้นเพื่อเดินไปหายูอิจิโร่ที่ยังคงกรีดร้องทุรนทุรานอยู่ในอ้อมกอดชิโนะ แต่ยังไม่ทันก้าวเท้าออกไป ไหล่ก็ถูกกระชากไปด้านหลังพร้อมพาตัวเขาลากทิ้งห่างยูอิจิโร่ออกไปไกลอย่างรวดเร็ว

 

“เฟริด ปล่อย!!” มิกะตะโกนเสียงโกรธเคือง พยายามจะดิ้นออกจากมือคีมเหล็กที่บีบไหล่เขาแน่น

 

“ตอนนี้ได้เวลาถอยแล้วขอรับคุณหนู” เฟริดพูดล้อเลียน

 

“แต่ยูจัง!”

 

“อย่าเพิ่งโวยวายสิ เห็นมั้ยว่าองค์หญิงของเธอไม่เป็นไรแล้วน่ะ เดี๋ยวเอาไว้ค่อยมาชิงตัววันหลัง” เฟริดยกนิ้วชี้ให้มองไปยังทางที่พาลากมิกะมา

 

ด้วยเพราะเมื่อกี้มัวแต่หันมาตะโกนบอกให้เฟริดปล่อย เขาจึงไม่ทันเห็นว่าร่างอสูรของยูอิจิโร่กลับมาเป็นมนุษย์ปกติแล้ว ร่างนั้นหมดสติอยู่ในอ้อมแขนของชิโนะ กลุ่มเก็คคิรายล้อมร่างของยูอิจิโร่เอาไว้ สีหน้าเต็มไปด้วยความเป็นห่วง

 

มิกะขมวดคิ้วมุ่น รู้สึกขุ่นเคืองพวกมนุษย์ที่ทำให้ยูอิจิโร่เป็นแบบนั้น จำใจต้องปล่อยให้เฟริดลากตัวกลับไปอย่างไม่เต็มใจแม้จะยังโหยหาคนอันแสนคิดถึง

 

ชั่วพริบตานั้น มิกะสบสายตาเข้ากับนัยน์ตากลมโตสีน้ำตาลของหญิงสาวผมสีม่วง สายตานั้นเต็มไปด้วยความแน่วแน่ ปากเล็กเอ่ยพึมพำขมุบขมิบเสียงเบาที่ทำให้มิกะพออ่านปากได้ว่า

 

‘ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ’

 

แม้จะรู้สึกไม่ค่อยพอใจที่ต้องฝากฝังยูอิจิโร่ไว้กับพวกมนุษย์ แต่มิกะเองก็ไม่มีทางเลือกมากนัก เขาพึมพำเสียงเบาเหมือนพูดอยู่คนเดียว พร้อมปล่อยให้ร่างของยูอิจิโร่ลับสายตาไป

 

“ยูจัง ฉันจะต้องช่วยเธอให้ได้”

 

———————————————————–

[Owari no Seraph][Mika x Yu]You give meaning to my life [1]

Title : You give meaning to my life

Fandom : Mika x Yu

Rate : PG

Note : นั่งอยู่ในที่ทำงาน เปิดเจอรูปเรื่องเซราฟแห่งจุดจบ เลยนึกครึ้มอยากแต่ง อันนี้ยังไม่จบนะคะ น่าจะมีอีกหลายตอนอยู่ โอ้วววววว

 

……………………………………………………………………………..

 

หากพูดถึงเรื่องความรักแล้ว มิคาเอล่า คงไม่ได้ให้ความสนใจอะไรสักเท่าไหร่

 

แต่ถ้าถามถึงความสนใจอะไรสักอย่าง แน่นอนว่าคำตอบของเขาคงไม่พ้น มนุษย์ที่ชื่อยูอิจิโร่

 

มิคาเอล่าเคยเป็นมนุษย์มาก่อน แต่นั่นคือเรื่องเมื่อนานมาแล้ว หากเทียบกับแวมไพร์ชั้นขุนนางตนอื่นๆ เขาอาจเป็นแวมไพร์อายุน้อยสุด ทว่า เรื่องความสามารถเขาไม่เป็นรองใคร เขาจึงเลื่อนขั้นกลายเป็นแวมไพร์นักรบในเวลาไม่นาน

 

กระทั่งได้เจอกับยูอิจิโร่เมื่อหกปีก่อน อีกฝ่ายถูกพาตัวเข้ามาอาศัยในปราสาทแวมไพร์พร้อมกับพี่น้องจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าในฐานะปศุสัตว์ ในเวลานั้นยูอิจิโร่ยังเด็ก ส่งผลให้มีความคิดอยากหนีออกจากนรกแห่งนี้แล้วไปเริ่มต้นใหม่ยังปลายทางข้างหน้า

 

แน่นอนว่ามิคาเอล่าในตอนนั้น ไม่ได้ล่วงรู้ถึงแผนการนั้นแม้แต่น้อย มิคาเอล่าพบกับยูอิจิโร่ครั้งแรก เมื่อครั้งที่เขากำลังเดินมุ่งหน้าไปตรวจสอบโรงปศุสัตว์ โดยมีแวมไพร์ที่ทำงานร่วมกันติดตามไปด้วย ขณะเดินสวนกับกลุ่มเด็กหน้าใหม่ที่ต้องกลายมาเป็นปศุสัตว์ เด็กหญิงคนหนึ่งสะดุดขาตัวเอง

 

“ระวัง!” เสียงห้าวแบบเด็กผู้ชายยังไม่โตตะโกนขึ้น แต่ช้าไป เพราะหน้าผากเด็กหญิงตัวเล็กกระแทกหน้าขาแวมไพร์ตนหนึ่งอย่างจัง ก่อนที่เด็กหญิงจะล้มก้นจ้ำเบ้า

 

“ไอ้มนุษย์ชั้นต่ำ” แวมไพร์ที่ถูกชนพูดรอดไรฟัน เอื้อมมือหิ้วหลังคอเสื้อเด็กหญิง ยกตัวขึ้นจนเท้าเล็กลอยเหนือพื้น เด็กหญิงร้องเสียงอื้ออาอย่างอึดอัด น้ำตาเอ่อคลอหน่วย เพราะเสื้อรั้งคอจนหายใจไม่ออก มิคาเอล่าตั้งใจจะหันไปห้ามปราม ทว่า ยังไม่ทันได้เอ่ย เด็กชายผมสีดำพลันกระโดดพรวด ฟันคมๆ กัดเข้าที่แขนของแวมไพร์ตนนั้นเต็มแรง

 

“โอ๊ย” สิ้นเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด แวมไพร์ร่างใหญ่ปล่อยมือจากเด็กหญิง เด็กหญิงก้นกระแทกพื้น ถึงกระนั้นเด็กชายก็ยังกัดไม่ปล่อย จนแวมไพร์เงื้อมือขึ้นทำท่าจะฟาด

 

แต่ในจังหวะนั้น มิคาเอล่ายื่นมือมาห้าม ดวงตาคมปราดตวัดมองแวมไพร์ แวมไพร์ตนนั้นรวมถึงตนอื่นๆ กลืนน้ำลายลงคอด้วยความเสียวสันหลัง เด็กชายมองเห็นบรรยากาศหนักอึ้ง สัมผัสได้ว่าตัวเขาและน้องๆ น่าจะปลอดภัยแล้ว จึงยอมผละริมฝีปากออกจากแขนของแวมไพร์

 

มิคาเอล่าดึงสายตากลับมามองเด็กหนุ่มตรงหน้า สายตาเด็ดเดี่ยว มุ่งมั่น สายตาที่เขาคลับคล้ายคลับว่าเคยรู้จักมาก่อนเมื่อครั้งอดีต ทว่าในตอนนี้กลับลืมเลือนไปหมดแล้ว

 

“ชื่ออะไร” มิคาเอล่าเอ่ยถามเด็กชายตรงหน้า

 

ใบหน้าเชิดรั้น ดื้อดึง สะบัดดังเฮอะไปอีกทาง “อยากรู้ชื่อคนอื่น ต้องบอกชื่อตัวเองก่อนสิ ไม่รู้จักมารยาทหรือไง”

 

แวมไพร์ตนอื่นพลันเลือดขึ้นหน้า กระชากเสียงโฮกฮาก “นี่แก! ไม่รู้เหรอว่าท่านผู้นี้—“

 

“หุบปาก” มิคาเอล่าพูดเสียงเย็น ปรายตามองเด็กหนุ่มตรงหน้า ก่อนเอ่ยเสียงราบเรียบ “ผมชื่อมิคาเอล่า”

 

เด็กชายทำสีหน้างงไปพักนึง ออกเสียงตาม “มิ..ล..คา…เอล” ก่อนโพล่งออกมา “โอ๊ย พูดยากจัง นายคือมิกะแล้วกัน มิกะ! ส่วนฉันชื่อเฮียคุยะ ยูอิจิโร่ เรียกยูก็ได้”

 

“มิกะ…” มิคาเอลล่า หรือมิกะยกนิ้วชี้ตัวเอง “ยู” ก่อนยกไปชี้อีกฝ่าย

 

“อื้อ!” ยูอิจิโร่พยักหน้า ยิ้มกว้าง

 

มิคาเอล่าอดยกมือลูบหัวคนตรงหน้าไม่ได้ เส้นผมแข็งกระด้างเล็กน้อยอย่างคนที่ไม่ค่อยได้ใส่ใจดูแลเท่าไหร่นัก

 

……………………………………………..

 

“ฉันน่ะเกลียดพวกแวมไพร์ที่สุดเลย! สักวันฉันจะต้องหนีออกไปจากที่นี่ให้ได้! อ๊ะ! แต่ไม่ได้หมายถึงเกลียดมิกะหรอกนะ มิกะเป็นข้อยกเว้น”

 

เสียงเจื๊อยแจ๊วเรียกให้มิกะคลี่ยิ้มบาง เขายกมือลูบผมยูอย่างนึกเอ็นดู

 

หลังจากวันนั้นก็ผ่านมานานหลายเดือนแล้ว ที่มิกะเข้ามาคลุกคลีกับเด็กๆ เฮียคุระ ห้องที่ยูกับเด็กจากบ้านเลี้ยงเด็กกำพร้าเฮียคุระอยู่นั้น ทั้งเล็กและแคบ นึกอยากจะพายูไปอยู่ห้องเขาในนครใต้ดินแซงกวิเนมเหมือนกัน ทว่า เขาไม่ได้มีอำนาจมากขนาดนั้น การจะพามนุษย์คนใดย่างกรายเข้าไปที่นั่น ไม่ใช่เรื่องง่าย จำเป็นต้องผ่านด่านแวมไพร์หลายๆ ตน รวมถึงแวมไพร์ชั้นขุนนางไปก่อน

 

“ยูจางงงง กินข้าวได้แล้วววว” เสียงใสดังมากจากข้างล่าง ยูทำท่าจะผุดลุกขึ้นยืน แต่มิกะเอื้อมมือมารั้งต้นแขนเอาไว้ พลางเอ่ยเสียงแผ่ว “ยูจัง” นี่เองก็เป็นเรื่องเปลี่ยนแปลง มิกะเปลี่ยนมาเรียกยูจังตามเด็กคนอื่นๆ “ผมสัญญานะว่าจะต้องช่วยยูออกไปให้ได้”

 

…แต่บางที อยู่ที่นี่น่าจะดีกว่าออกไปข้างนอก มิกะเดิมเอาเองในใจ

 

เมื่อได้ยิน ยูอิจิโร่ทำตาโตเล็กน้อย ก่อนฉีกยิ้มตาหยี “ไม่ใช่แค่ฉัน แต่ต้องเป็นทุกคนต่างหาก!”

 

คำพูดนั้นยังคงดังก้องอยู่ในหัวของมิกะ ใช่ว่าเขาไม่อยากช่วย แต่ยูจังจะรู้หรือเปล่า ว่าโลกข้างนอกมันโหดร้ายขนาดไหน แม้เขาสัญญาว่าจะช่วยออกไป แต่เขาไม่รู้เลยว่า หากเขาทำได้จริงแล้ว จะพายูจังไปอยู่ที่ไหน แน่นอนว่าในนครใต้ดินแซงกวิเนมของแวมไพร์คงเป็นไปไม่ได้

 

……นอกเสียจากว่า ยูจังจะยอมไปอยู่เงียบๆ แค่สองคนกับเขา

 

ในเวลานี้มิคาเอล่าคิดได้เพียงแค่นี้จริงๆ เขาไม่มีกำลังมากพอจะไปต่อกรกับแวมไพร์เลือดบริสุทธิ์ ตัวเขาเองเพิ่งจะเป็นแวมไพร์มาไม่กี่ทศวรรษเท่านั้น

 

โครก…..

 

เสียงท้องร้องเรียกสติของมิกะให้กลับมา จะว่าไป…เขาไม่ได้กินเลือดมาหลายวันแล้ว นับตั้งแต่ถูกเปลี่ยนให้เป็นแวมไพร์ เขาทั้งชิงชังตัวเองที่เป็นแวมไพร์ แต่ขณะเดียวกันก็ชิงชังมนุษย์ที่บีบให้เขาต้องกลายเป็นอย่างนี้ แม้จะเป็นแวมไพร์หากแต่มิกะยังไม่เคยลิ้มรสเลือดอุ่นๆ ของมนุษย์เลยสักครั้ง สิ่งที่พอจะประทังความหิวให้เขามาตลอด คือเลือดของราชินีแวมไพร์คุรุรุ

 

คุรุรุคือราชินีแวมไพร์ที่มอบชีวิตอันเป็นอมตะให้แก่เขา เธอให้ความเอ็นดูเขามากกว่าใคร ถึงขั้นหลั่งเลือดตัวเองใส่แคปซูลเก็บไว้เป็นจำนวนมากเพื่อให้มิกะพกพาและประทังความหิวได้โดยสะดวก

 

เพราะฉะนั้น ดวงตาของมิกะจึงยังเป็นสีฟ้ากระจ่างใส ยังไม่เปลี่ยนเป็นสีแดงเฉกเช่นแวมไพร์ตนอื่นๆ ปกติแล้วมิกะจะไม่มีความอยากโลหิตในตัวมนุษย์เท่าไหร่นัก ทว่า กับยูอิจิโร่ ไม่รู้ทำไมกลิ่นกายหอมๆ เหมือนเด็กแบบนั้นกลับปลุกเร้าสัญชาตญาณแวมไพร์ในตัวเขา ถึงจะพอควบคุมตัวเองได้ไม่ยาก แต่บางครั้งมิกะก็กลัวตัวเอง กลัวว่าสักวันจะเผลอทำร้ายยูเข้า

 

จนกระทั่งในคืนหนึ่ง คืนนั้นมิคาเอล่าเข้าไปนั่งรอยูอิจิโร่ตรงชั้นล่าง ส่วนเด็กคนอื่นๆ หลับอยู่บนชั้นสอง

 

มิคาเอล่าที่กำลังก้มหน้าอ่านตำราเกี่ยวกับดาบชนิดต่างๆ พลันชะงักค้าง เงยหน้าควับ กลิ่นคาวโชยแตะจมูก เป็นกลิ่นที่เขาคุ้ยเคยดี แต่กลิ่นนี้ไม่ควรจะฟุ้งลอยมาจากทางหน้าประตู ทันทีที่ดวงตาเบิกโพลง บานประตูค่อยๆ แง้มออก และปรากฏร่างคุ้นตา

 

นั่นคือยูอิจิโร่ ทว่า สิ่งที่แปลกไปคือใบหน้าของอีกฝ่ายดูอิดโรย ซูบซีด ใต้ตาหมองคล้ำ แต่ยังคงฝืนยกยิ้ม “มิกะ มารอตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย”

 

มิคาเอล่าลุกพรวด ถลันเข้าไปหาอีกฝ่าย เอื้อมมือบิดปลายคางอีกฝ่ายอย่างไม่แรงนัก จนเห็นร่องรอยเขี้ยวแวมไพร์อยู่ตรงซอกคอเป็นจ้ำวับแวบ นัยน์ตาสีฟ้าวาวโรจน์ มือที่จับปลายคางผละออกมาคว้าไหล่ทั้งสอง เขย่าจนสั่นคลอน

 

“ทำไมถึงทำอย่างนี้!” เขาตะคอกแต่เสียงไม่ดังนัก เพราะยังเกรงใจเด็กคนอื่น ยูเงยมองหน้ามิกะพลันคลี่ยิ้มเศร้า “ปศุสัตว์ก็ต้องมีวิธีแบบปศุสัตว์…”

 

มิกะชะงักไปแวบหนึ่ง “ปศุสัตว์เหรอ… ไม่ใช่นะ ยูจังไม่ใช่……”

 

“ฉันใช่! มิกะ” อีกฝ่ายตะโกนเสียงดัง ได้ยินเสียงเด็กๆ บนชั้นสองขยับตัว พร้อมเสียงร้องอื้ออึงในลำคอ ไม่รู้ว่าทำให้ตื่นหรือเปล่า

 

“ยูจัง เราออกไปคุยกันข้างนอก เดี๋ยวคนอื่นตื่น” มิกะคว้าข้อมือเล็กของยูอิจิโร่ กึ่งลากกึ่งจูงพาออกไปบนถนน หลบเลี่ยงทหารเวรยาม มาอยู่ตรงซอกมุมตึก

 

“บอกผมทียูจัง ว่าใครเป็นคนดูดเลือดเธอ แล้วเธอทำอย่างนี้ทำไม” เขาเอ่ยถามเสียงเว้าวอน

 

ยูอิจิโร่นิ่งไปพักหนึ่ง เอ่ยตอบ “ขอโทษนะมิกะ การที่ฉันจะออกไปจากที่นี่ ฉันต้องได้รับความไว้วางใจจากแวมไพร์ชั้นขุนนาง…”

 

มิกะเบิกตาโพลง เอ่ยพึมพำ “ชั้นขุนนางงั้นเหรอ……”

 

“ขอโทษจริงๆ นะมิกะ แต่ฉันบอกไม่ได้ ฉันไม่อยากให้นายเดือดร้อนไปด้วย แค่นายมาคลุกคลีกับฉัน ก็โดนมองไม่ดีแล้วใช่ไหมล่ะ มิกะฉันไม่อยากให้นายลำบาก…”

 

“ไม่นะยูจัง ผมไม่เคยลำบาก ถ้าเพื่อยูจังแล้วผม—“

 

“พอทีมิกะ!” อีกฝ่ายโพล่งเสียงดัง

 

“…ยูจัง”

 

“ขอโทษจริงๆ มิกะ แต่นายอย่าเข้ามายุ่งเรื่องนี้ดีกว่า…” อีกฝ่ายเงียบไปชั่วอึดใจก่อนพูดต่อ

 

“ขอบคุณนะ”

 

รอยยิ้มสดใดถูกระบายอยู่บนใบหน้า เป็นรอยยิ้มที่มิกะชอบ แต่ตอนนี้เขากลับรู้สึกไม่ชอบรอยยิ้มนั้นเอาเสียเลย

 

หลังจากวันนั้น ยูอิจิโร่ก็ไม่ค่อยได้กลับมาที่บ้าน บางครั้งกลับมาตอนเกือบเช้า บางครั้งกลับมาดึกดื่นค่อนคืน บางครั้งหายไปสองสามวันถึงกลับมา

 

ไม่ใช่แค่มิคาเอล่าที่เป็นห่วง หากแต่พี่น้องของอีกฝ่ายเองก็ห่วง แม้จะเอ่ยถาม ยูอิจิโร่มักตอบเพียงว่า “ไปทำธุระ” พลางส่งยิ้มให้เท่านั้น พี่น้องของยูอิจิโร่บางคนถึงขนาดละล่ำละลั่กเอ่ยถามเขาอย่างกล้าๆ กลัวๆ เสียด้วยซ้ำว่า “พอรู้ไหมว่ายูจังไปไหน”

 

……คำถามนั้นเขาเองก็อยากรู้เช่นกัน

 

ขอเพียงแค่เขามีอำนาจพอ… ต่อให้เป็นคนโปรดของราชินีคุรุรุ ก็ใช่ว่าเขาจะยื่นมือเข้าไปยุ่งเรื่องนี้ได้โดยง่าย

 

ช่วงเวลาเช่นนั้นผ่านไปนานหลายเดือน พอดีกับที่ด้านนอกนครใต้ดินแซงกวิเนมเกิดเหตุจราจล มนุษย์เหิมเกริม ตั้งตนปฏิวัติและไม่ยอมอยู่ใต้อาณัติ เดือนร้อนถึงมิคาเอล่าต้องออกไปกู้สถานการณ์ก่อนที่จะบานปลาย

 

หลังจากสงครามจราจลที่กินเวลานานเป็นเดือน ในที่สุดเขาก็ได้กลับมายังนครใต้ดินแซงกวิเนม ขายาวก้าวพรวดตั้งใจจะไปรายงานสถานการณ์ให้ราชินีแวมไพร์รับทราบ ทว่า จมูกพลันได้กลิ่นคาวเลือดลอยฟุ้ง แวมไพร์ทหารหลายตนเริ่มคลุ้มคลั้งเก็บความอยากอาหารไม่อยู่

 

มิคาเอล่าขมวดคิ้วมุ่น เลือดในกายแล่นพล่าน เหงื่อผุดซึมตามไรผม เขาเองก็เป็นแวมไพร์ที่อาหารหลักคือเลือดมนุษย์สดๆ อีกทั้ง หลังจากตรากตรำทำศึกมานาน ร่างกายเขาอ่อนล้า เมื่อได้สัมผัสกลิ่นอาหารสดใหม่แบบนี้ มันทำให้ลำคอแห้งผากเป็นผุยผง

 

เขายกมือขึ้นเป็นสัญญาณให้ทหารแวมไพร์รออยู่ด้านหน้า ส่วนตัวเขาเข้าไปข้างในคนเดียว เมื่อขาก้าวพรวดเข้าไปยังห้องโถง ภาพที่เห็นทำให้เขานิ่งค้าง อาการอยากอาหารเมื่อครู่พลันหายวับ ดวงตาสีฟ้ากระจ่างเบิกโพลง

 

เลือดที่เปรอะเปื้อนเป็นวงกว้างไปรอบห้องโถง ไม่น่าตกใจเท่าร่างคุ้นเคยมากมายที่นอนจมกองเลือด เหล่าเด็กๆ บ้านเด็กกำพร้า พี่น้องของยูอิจิโร่ 
…และร่างของยูอิจิโร่ที่นอนอยู่ไม่ห่าง

 

เหมือนภาพข้างหน้ากลายเป็นสีขาวโพลน สมองว่างเปล่า พูดไม่ออก ได้แต่ตวัดสายตาไปมองแวมไพร์ตนหนึ่งที่ยืนอยู่อย่างโดดเดี่ยวท่ามกลางร่างไร้ลมหายใจมนุษย์

 

ฝ่ายนั้นแลบลิ้นไล้เลียต้นแขนที่เปรอะเปื้อนเลือดด้วยสีหน้าเปี่ยมสุข ชุดสีขาวเข้ารูปสัญลักษณ์เผ่าพันธุ์แวมไพร์อาบย้อมสีแดงสด ชายหนุ่มผมสีเงินเบนสายตากลับมา มุมปากอมยิ้มนิดๆ

 

“อ้าว มิคาเอล่า เพิ่งกลับมาจากสงครามเหรอ เหนื่อยแย่เลย น่าเสียดายนะที่มาไม่ทันปาร์ตี้ล่าปศุสัตว์”

 

มิกะตัวสั่นเทิ้มเมื่อได้ยินคำพูดนั้น “ล่าปศุสัตว์…”

 

“ใช่ๆ อยู่ดีๆ เจ้าพวกนี้ก็พุ่งออกมา คงคิดใช้โอกาสตอนแวมไพร์ไปรบหนีจากที่นี่ โดยใช้อาวุธ กับแผนที่ปลอมที่ฉันทำขึ้นมาน่ะสิ!” เฟริดคลี่ยิ้มอวดเขี้ยว ก้มตัวดึงเอาแผนที่ชุ่มเลือดจากมือเด็กชายที่นอนจมกองเลือดอยู่แทบเท้า

 

“ยอมให้ฉันดูดเลือดตั้งหลายเดือนนี่หน่า ฉันก็ไม่ได้แล้งน้ำใจถึงขนาดไม่ตอบแทนหรอกจริงไหมล่ะ …ถึงจะเป็นของปลอมก็เถอะนะ ฮะๆๆ” เฟริดหัวเราะร่วน โบกแผนที่เปื้อนเลือดในมือไหวๆ

 

มิคาเอล่าเพ่งมองร่างคุ้นตาที่อยู่แทบเท้าเฟริด เขารู้สึกเหมือนเส้นประสาทขาดดังผึง มือเอื้อมคว้าเอาดาบออกมา ดีดขาพุ่งพรวดเข้าหาเฟริด สะบัดดาบฟันสะพายแล่ง

 

ทว่า อีกฝ่ายกระโดดหลบได้อย่างง่ายๆ มุมปากกดยิ้ม “โอ๊ะโอ๋ว ทำร้ายแวมไพร์ด้วยกันมันผิดกฏนะ”

 

“แล้วที่แกละเมิดกฏดื่มเลือดมนุษย์โดยตรงน่ะ มันต่างกันตรงไหน! แกฆ่าพวกเขา!” มิกะตวาดลั่น กวัดไกวดาบคมไม่ลดละ เมื่อเห็นมิกะเอาจริง เฟริดไม่ยอมแพ้ หยิบดาบขึ้นมาฟาดฟันตอบโต้

 

ทันใดนั้น มิกะเห็นร่างคุ้นตาที่น่าจะหมดลมหายใจไปแล้ว ค่อยๆ หยัดลุกขึ้นยืน เขาเสียจังหวะ ชะงักกึก เบิกตามอง เอ่ยเสียงหวิว “ยูจัง…”

 

เฟริดเล็งโอกาสฟันแขนข้างที่จับดาบของมิกะจนท่อนแขนหลุดร่วงไปบนพื้น มิกะกรีดร้องครวญด้วยความเจ็บปวด หากแต่สายตายังคงจับจ้องอยู่ที่ยูอิจิโร่

 

“ลืมไปแล้วหรือไงว่าอย่าประมาทศัตรูเวลาหันดาบ” เฟริดเอ่ยเยาะ “อ้อ… ยังไม่ตายนี่ อึดชะมัด สงสัยต้องจัดอีกรอบ คราวนี้เอาให้นิ่งสนิท ไม่งั้นคงน่าสงสารแย่ถ้าต้องมาอยู่คนเดียว” เฟริดพึมพำเสียงดังเหมือจงใจให้มิกะได้ยิน ก่อนจะปราดร่างเข้าประชิดยูอิจิโร่

 

“ยูจัง!” มิกะดีดตัวพรวดเข้าไปขวาง ดาบคมฟันฉับลงมาตรงกลางลำตัว เลือดสีแดงสดไหลทะลักพรวดออกมาเป็นสาย เปื้อนยูนิฟอร์มสีขาว ส่วนหนึ่งกระเด็นไปติดบนใบหน้าเฟริด

 

“โอ้โห เป็นเจ้าชายมาปกป้องเจ้าหญิงซะด้วย” เฟริดยิ้มกว้างอย่างนึกสนุก

 

“…ยูจัง…หนี……ไป” มิกะแค่นเสียงพูดอย่างลำบาก มือซ้ายกางออก เรียกให้ดาบเข้ามาอยู่ในมือ ก่อนจะเงื้อมือขึ้นหมายจะต่อสู้กับคนตรงหน้า เฟริดยกดาบขึ้นตั้งรับได้ทัน พลางผิวปากหวือ “ว้าว ยังมีแรงเหลืออีกเหรอเนี่ย”

 

“มะ…มิกะ….” ยูอิจิโร่เบิกตากว้าง ละล่ำละลั่กเรียก ยูอิจิโร่ได้รับบาดเจ็บตรงศีรษะกับแขน เลือดเหนียวอาบย้อมปิดบังการมองเห็นไปครึ่งหน้า ท่ามกลางภาพพร่ามัวเขามองเห็นแผ่นหลังคุ้นตาที่กางปกป้องเขาอยู่ตรงหน้า

 

“หนี…ไป…ยูจัง…หนีไป! เดี๋ยวนี้!!” มิกะตะคอกเสียงดัง เสียงคมดาบกระทบดาบดังหวือก้องในห้องโถง

 

ยูอิจิโร่ค่อยๆ ก้าวถอยหลัง ก่อนจะหมุนตัววิ่งพรวดหนีออกไปตรงทางออก ในใจพร่ำร้องคำว่า “ขอโทษ” ซ้ำๆ

 

มิคาเอล่าเมื่อเห็นร่างคุ้นตาค่อยๆ ลับหายไป ในใจรู้สึกโล่งอก แม้จะอดเป็นห่วงไม่ได้ว่ายูจังจะมีชีวิตอยู่ในโลกภายนอกได้อย่างไร หากแต่ก็อาจดีกว่าต้องมาทิ้งชีวิตนอนจมกองเลือดอยู่ในที่แบบนี้

 

“ว้า เจ้าหญิงหนีไปซะแล้ว” เฟริดพูดยิ้มๆ ลดมือที่ถือดาบลง พลางกระโดดถอยหลังหนีไปไกลโข

 

มิคาเอล่าสูญเสียกำลังไปมาก เขาไม่อาจฝืนยืนอยู่ได้ ทั้งร่างล้มครืน ใบหน้าแนบพื้น ดวงตาสีฟ้าเหม่อลอยจ้องมองเส้นทางที่ยูอิจิโร่เพิ่งวิ่งออกไป

 

…ยูจัง ขอให้ปลอดภัยนะ

 

มิกะได้แต่ภาวนาอยู่ในใจ ก่อนที่ทิวทัศน์จะอาบย้อมเป็นสีดำสนิท

 

…………………………………………………………

To be continued……

[Tom&Jerry][JxT] คนสำคัญ

Title : คนสำคัญ

Fandom : Tom & Jerry

Pairing : Jerry X Tom

Rate : PG

Note : ตอนนี้เกิดจากแรงมโนล้วนๆค่ะ นั่งดูแล้วเกิดครั่นเนื้อครั่นตัวอยากแต่ง 55555

 

*************************

 

วันนี้คุณนายเกอร์ทูธไม่อยู่บ้าน….

 

 

แมวหนุ่มนึกครึ้มในใจ แลบลิ้นไล้เลียนมอุ่นในชามจนเกลี้ยง ก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูง แหงนมองเวลา นาฬิกาบอกเวลาสิบโมงเช้า นับว่าเป็นฤกษ์ดีทีเดียว

 

 

ขายาวก้าวพรวดไปยังรูหนูที่อยู่มุมห้อง วางกับดักหนูที่มีเนยแข็งติดเอาไว้ตรงปากทางเข้า ก่อนจะถอยหลังกลับไปหลบตรงมุมเสา คอยเฝ้ามองสถานการณ์อยู่ห่างๆ

 

 

มุมปากคลี่ยิ้มออกมาอย่างหุบไม่อยู่ ยามจินตนาการถึงตอนหนูตัวเล็กสีน้ำตาลโดนกับดักหนูหนีบเข้าดังผัวะ แค่คิดก็รู้สึกสนุกขึ้นมา นอกจากจะสามารถกำจัดคู่กัดไปได้แล้ว ยังเอาไว้อวดคุณนายเกอร์ทูธเพื่อเอาหน้าได้อีกต่างหาก

 

 

ขณะครุ่นคิดไปต่างๆนาๆอย่างอารมณ์ดี แมวตัวสูงโย่งที่หมอบคุดคู้หลบอยู่หลังเสาไม่ทันได้สังเกตเห็นหนูเจอร์รี่ที่ยืนห่างออกจากไปราวๆหนึ่งช่วงแขน เจอร์รี่ยืนกอดอกพลางส่ายศีรษะน้อยๆ ไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาเปรียบแมวตรงหน้าดี เอากับดักหนูมาวางไว้โต้งๆแบบนั้น จะมีหนูโง่ตัวไหน ยอมเข้าไปติดกับดักที่เห็นได้ชัดขนาดนั้นกัน หนูน่ะ… ไม่ได้สมองเล็กเหมือนขนาดตัวหรอกนะ

 

 

นั่นสิ… จะมีหนูโง่ที่ไหนยอมเข้าไปติดกับดักแบบนั้นกันล่ะ….

 

 

ยกเว้นก็แต่ หนูโง่ตัวนี้….

 

 

เจอร์รี่คิดอย่างระอาใจ รู้สึกเบื่อหน่ายตัวเองเหมือนกัน แต่ทำไงได้ ดันไปชอบไอ้เจ้าแมวทึ่มที่โคตรจะซื่อบื้อไม่มีใครเกิน ไอ้ครั้นจะให้บอกไปโต้งๆว่า ‘ชอบ’ ก็ดูจะผิดวิสัยเขาไปหน่อย

 

 

คิดแล้วก็เหนื่อย…

 

 

ขาเล็กเดินอ้อมไปด้านหลัง มุดเข้ารูหนูตรงมุมผนังอีกฝาก เจอร์รี่ขุดเจาะบล็อคอิฐด้านในเอาไว้จนเป็นโพรงกรวง ทางเดินด้านในจึงเชื่อมต่อกันไปทุกที่ เขามุดลอดออกมาจากรูที่เจ้าแมวโง่วางกับดักหนูหมายจะดักตัวเขา ก่อนจะแสร้งทำเป็นเพิ่งตื่น อ้าปากหาววอด พลางยกมือขึ้นปิดใบหน้า ปลายหางตาสังเกตกับดักหนู ในใจครุ่นคิดถึงท่วงท่าที่จะทำให้ปลายหางตัวเองแค่โดนหนีบเอาไว้อย่างหมิ่นเหม่

 

 

ผัวะ!

 

 

เสียงกับดักหนูดีดดังผัวะยามเจอร์รี่โค้งตัวลงแตะก้อนเนยแข็ง เส้นเหล็กหนาหนีบเข้ากับปลายหางของเขาอย่างหมิ่นเหม่อย่างที่ตั้งใจเอาไว้ ถึงแม้จะแค่ปลายหางแต่เอาเข้าจริงก็แอบเจ็บเล็กๆเหมือนกัน

 

 

นี่ถ้าไม่ใช่เขา จะมีหนูโง่ตัวไหนยอมให้เจ้าแมวโง่ตัวนี้จับอีกไหมเนี่ย…

 

 

ทอมวิ่งพรวดออกมาอย่างดีใจ ดวงตาสีเหลืองอำพันวาวระยับ ยกนิ้วดีดเอาเหล็กที่หนีบหางเจอร์รี่ออก พลางใช้อุ้งมือโอบรอบเจอร์รี่ขึ้นมา

 

 

“ฮ่าๆ คราวนี้แหละ แกเสร็จฉันแน่!” ทอมหัวเราะเต็มเสียงจนตัวสั่น

 

 

ใครจะเสร็จใครกันแน่…

 

 

เจอร์รี่ได้แต่ครุ่นคิดอยู่ในใจ พลางระบายรอยยิ้มออกมาทางสีหน้า

 

 

อดคิดไม่ได้ว่า อุ้งมืออุ่นของเจ้าแมวโง่นี่ให้ความรู้สึกดี จนบางครั้งนึกอยากให้ฝ่ามือนี้โอบรัดตัวเองเอาไว้อยู่ตลอดเวลา นี่คงเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่เจอร์รี่มักจะยอมให้ทอมจับอยู่บ่อยๆ

 

 

อีกทั้ง… เขาเองก็รู้ว่า ไอ้แมวทึ่มนี่ ไม่ได้คิดที่จะกำจัด หรือกินเขาอย่างที่พูดพร่ำปาวๆนั่นหรอก แน่นอนว่า ทอมไม่ได้ชอบเขาในความหมายเดียวกับที่เขาชอบทอม …ไม่ใช่ในฐานะเพื่อน ไม่ใช่ในฐานะคู่แข่ง แต่เป็นอะไรที่นอกเหนือจากนั้น เจอร์รี่คิดว่า สิ่งนั้น คงจะใกล้เคียงกับคำว่า… คนสำคัญ

 

 

แต่นั่นเป็นเพียงสิ่งที่เจอร์รี่คาดเดา โดยอาศัยสถานการณ์หรือเรื่องราวหลายๆอย่างที่ผ่านมา… เขาไม่รู้หรอก ว่าจริงๆแล้วทอมคิดอะไรอยู่กันแน่ …แต่ต้องมีสักวันหนึ่ง ที่เขาจะสามารถเข้าใจความคิดอีกฝ่ายได้อย่างแน่นอน

 

 

คงเพราะเห็นเขานิ่งเงียบไป ฝ่ามืออุ่นจึงคลายออก นัยน์ตาสีเหลืองอำพันหรี่มองตัวเขาอย่างนึกสงสัย พลางส่งเสียงทุ้มต่ำอย่างที่เจอร์รี่ได้ยินจนชินเอ่ยถาม “…เอ่อ นายไม่สบายเหรอ?”

 

 

ทอมคลายฝ่ามือ เปลี่ยนจากกำรอบลำตัวหนูตัวเล็ก เป็นแบมือออกให้เจอร์รี่ได้นั่งอยู่บนฝ่ามือสบายๆ ดวงตาของแมวตรงหน้าฉายแววเป็นกังวล

 

 

ก็เพราะทอมเป็นอย่างนี้ไง เขาถึงเลิกชอบเจ้าแมวทึ่มนี่ไม่ได้เสียที… ชอบวางท่าเป็นวายร้าย ทำตัวเกเร แต่แท้จริงแล้ว กลับอ่อนไหวเสียยิ่งกว่าใคร…

 

 

เจอร์รี่อดจุดยิ้มนิดๆขึ้นมาไม่ได้

 

 

“…นี่” น้ำเสียงนั่นฉายแววเป็นห่วงมากขึ้น สงสัยเจ้าแมวโง่คงนึกว่าเขาป่วยเข้าจริงๆแล้วกระมัง

 

 

“…ฉันไม่เป็นไร” เจอร์รี่ลุกขึ้นยืนอยู่กลางฝ่ามือ พลางส่งเสียงตอบ พวงหน้าเจ้าแมวตรงหน้าคลี่ยิ้มโล่งใจออกมาอย่างลืมตัว

 

 

เจอร์รี่จ้องมองรอยยิ้มที่ระบายอยู่ตรงนั้น เขารู้สึกอุ่นวาบในใจ กระพริบตากลมโตของตัวเองหนึ่งครั้งเสมือนตัดสินใจ ฝ่ามือที่กำก้อนเนยแข็งที่ได้มาจากกับดักหนูเงื้อขึ้น ก่อนจะปาแผละไปบนจมูกของแมวตรงหน้า

 

 

ทอมคล้ายตกใจและระคนดีใจในเวลาเดียวกัน

 

 

เจอร์รี่กระโดดแผล็วลงจากฝ่ามือของทอม พลางหมุนตัวกลับมาแลบลิ้นปลิ้นตาใส่ ก่อนจะเริ่มวิ่งหนี

 

 

เจอร์รี่ไม่ได้หันกลับไปมองใบหน้าทอมอีกครั้งหรอก แต่เขารู้ว่าใบหน้านั่นจะต้องระบายไว้ด้วยรอยยิ้มแสนสุข และรู้ว่าอีกไม่นานทอมจะต้องวิ่งไล่กวดเขามาอย่างแน่นอน

 

 

สำหรับในตอนนี้… สถานะ ‘คนสำคัญ’ ก็ไม่เลวเหมือนกัน

 

 

 

-END-

[Original-Fiction] กระดาษ

Title : กระดาษ
Rate : PG
Note : เป็นเรื่องที่แต่งเล่นๆค่ะ ไม่มีชื่อตัวละครหรืออะไรทั้งนั้น พอดีนึกถึงช่วงตอนเรียนม.ปลาย แล้วมักจะชอบมีเด็กปาเศษขยะใส่ถังขยะบ่อยๆ เลยเกิดอาการอยากเอาพล็อตนั้นมาใช้ขึ้นมาบ้าง 5555

—————————-

 

 

ชอบ….

 

 

คิ้วเรียวขมวดจนมุ่น พลางจ้องมองจดหมายที่เจ้าตัวเพิ่งได้รับมาเมื่อกี้นี้
จะเรียกว่าจดหมายก็คงไม่ถูกนัก น่าจะบอกว่า มันคือเศษกระดาษหนึ่งแผ่นมากกว่า เพราะกระดาษที่อยู่ในมือของเขาในตอนนี้มันทั้งยับยู่ยี่และเละเทะเต็มไปด้วยรอยรองเท้า ทว่า มีเพียงตัวอักษรสีดำคำว่า ‘ชอบ’ เท่านั้นที่เด่นชัดอยู่กลางกระดาษ

 

 

เขาเหลียวหลังกลับไปมองทางด้านหลังเพื่อหาตัวต้นเหตุที่ปากระดาษแผ่นนี้มาโดนเขา หากแต่ผู้คนที่เดินกันขวักไขว่อยู่เต็มโรงอาหารทำให้ระบุตัวคนทำยากนัก

 

 

‘ช่างมันเถอะ’ คิดในใจก่อนจะขยำกระดาษเป็นก้อนกลมๆ กระชับก้อนกระดาษเข้าฝ่ามือไว้จนแน่น หยีตาลงข้างหนึ่งเพื่อกะระยะ ก่อนจะขว้างไปสุดแรง กระดาษกลมก้อนน้อยๆพุ่งตรงไปยังเป้าหมายก่อนที่จะ….

 

 

“แปะ…โอ๊ะ!” ก้อนกระดาษที่น่าจะหล่นลงไปยังถังขยะกลับไปหยุดตรงจุดหมายตรงแผ่นหลังใครคนหนึ่ง ผู้ชายคนนั้นค่อยๆหันมาช้าๆ ใบหน้าขาวฉายแววงุนงง ก่อนจะก้มลงหยิบก้อนกระดาษกลมๆที่หล่นอยู่ตรงพื้นขึ้นมาอ่าน

 

 

‘ซวยแล้ว’ ตัวต้นเหตุคิด เขารีบก้มหน้าเสหลบสายตาของอีกคนที่กำลังกวาดสายตามองหาคนปา มือเรียวรีบคว้าจานข้าวที่กินเหลือไว้ครึ่งหนึ่งมาถือไว้ ก่อนจะรีบเดินก้าวสวบๆเอาไปเก็บตรงที่เก็บจานทันที ตาเรียวแอบเหลียวกลับมามองพลันสายตาก็ประทะเข้ากับสายตาอีกคนที่มองมาพอดี

 

 

“ตายแหง” พึมพำเสียงเบา ก่อนจะกึ่งเดินกึ่งวิ่งแหวกผู้คนหนีออกมา ได้ยินเสียงตะโกนเรียกดังตามหลังมาว่า ‘เดี๋ยวก่อน!’ ใครจะหยุดให้โง่วะ!?

 

 

“แฮ่กๆ” วิ่งมาจนถึงหลังอาคาร ร่างโปร่งยืนหอบพิงกำแพง ยกหลังมือขึ้นปาดเหงื่อที่ซึมออกมา

 

 

“นี่…” เสียงทุ้มดังขึ้นข้างตัว เขาผงะก่อนจะรีบเด้งตัวออกห่าง ขาเรียวตั้งใจว่าจะเดินหนีถ้าไม่ติดที่ถูกฝ่ามือหนาจับเอาไว้จนแน่น!?

 

 

“มะ…มีอะไร” กลั้นใจถามเสียงสั่น เขาไม่คิดหรอกนะว่าแค่ก้อนกระดาษเล็กๆ จะทำให้เจ็บอะไรนักหนา แต่มันก็อาจจะไม่แน่สำหรับผู้ชายคนนี้ ที่โด่งดังเรื่องทะเลาะวิวาท และพร้อมจะหาเรื่องได้ทุกเวลา จนมีเรื่องเข้าห้องปกครองได้ไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ นี่เขาไม่ได้กลัวหรอกนะ จริงๆ!?

 

 

“กระดาษนี่…” อีกฝ่ายชูมือที่ถือกระดาษขึ้น เขามองไปที่กระดาษก่อนจะกลั้นใจตอบ

 

 

“ขอโทษนะ ที่เราปาไปโดน เราไม่ได้ตั้งใจ เราจะปาลงถังขยะ” เขารีบรัวตอบอย่างไม่มีเวลาพักหายใจ

 

 

“ไม่ใช่อย่างนั้น….” อีกฝ่ายบอก

 

 

เขาเลิกคิ้วขึ้นก่อนจะถามต่อ “อ้าว…แล้วนายตามเรามาทำไม”

 

 

“ก็กระดาษเนี่ย..” อีกฝ่ายเว้นช่วงไว้นิดหนึ่ง ริมฝีปากสีชมพูส่งยิ้มให้เขาเล็กน้อยก่อนจะเริ่มพูดต่อ “ของฉันเอง”

 

 

“ห้ะ!?” เขาอุทานออกมาอย่างงงๆ นิ้วเรียวชี้ไปที่ก้อนกระดาษที่อยู่ในมืออีกฝ่าย “ของนาย”

 

 

อีกฝ่ายพยักหน้ารับน้อย ก่อนจะฉีกยิ้มกว้าง “ที่เรียกก็เพื่อจะมาบอกว่า ขอบคุณนะ”

 

 

“เอ่อ…ไม่เป็นไร งั้นช่วย…ปล่อยแขนเราก่อนได้มั้ย” เขาบอกเบาๆ อีกฝ่ายไม่ตอบหากแต่ยื่นใบหน้าเข้ามาใกล้ซะจนเขาต้องย่นคอหนี

 

 

“แล้วไม่คิดจะถามเราเหรอ ว่าทำไมกับอีแค่กระดาษใบเดียวมันถึงสำคัญกับเรานัก” ดวงตากลมสีน้ำตาลอ่อนของอีกฝ่ายสะท้อนกับแสงแดดจนเป็นประกายระยับ เขาเผลอจ้องมองดวงตานั้นโดยไม่รู้ตัวในขณะที่เปลี่ยนเป็นตอบคำถามด้วยคำถามแทน

 

 

“เอ่อ..แล้วเพราะอะไรถึงสำคัญล่ะ” อีกฝ่ายฉีกยิ้มกว้างอย่างพอใจก่อนจะเริ่มตอบ

 

 

“เพราะ…”

 

 

 

“เพราะ?”

 

 

 

“เพราะกระดาษแผ่นนี้เป็น ‘ที่ระลึกครั้งแรก’ ที่ทำให้เราได้คุยกับนายน่ะสิ!” เมื่อพูดจบร่างสูงตรงหน้าก็โผเข้ากอดเขาอย่างเต็มแรง เขายืนตัวแข็งปล่อยให้อีกฝ่ายโอบกอดอยู่อย่างนั้น พลางคิดทบทวนเรื่องต่างๆในหัวอย่างมึนๆ

 

 

 

=============================

 

 

 

 

“แล้วเจอกันพรุ่งนี้นะ” อีกฝ่ายส่งยิ้มให้เขาก่อนจะเดินกลับเมื่อมาส่งเขาถึงหน้าบ้าน เขาโบกมือไหวๆ ส่งให้จนแผ่นหลังของอีกฝ่ายลับหายไปในความมืด เขาถึงเดินเข้าบ้าน

 

 

เขานั่งลงบนเตียง ก่อนจะค่อยๆสอดมือเข้าไปใต้หมอนแล้วหยิบเอาหนังสือเล่มหนามาถือเอาไว้ในมือ ริมฝีปากสีแดงสดยกยิ้มน้อยๆ พึมพำกับตัวเองเบาๆ

 

 

“ได้ผลจริงๆด้วย”

 

 

บรรจงเก็บหนังสือสำคัญเข้าชั้นอย่างดี ก่อนจะเปิดลิ้นชักหัวเตียงแล้วหยิบเอาสมุดได้อารี่ขึ้นมาจดบันทึก

 

 

วันที่ xx เดือน xx

 

วันนี้ได้คุยกับ เขาคนนั้น ด้วย แสดงว่าหนังสือได้ผล

ตาเรียวเหลือบไปมองหนังสือบนชั้นอีกครั้ง ยิ้มกับตัวเองน้อยๆก่อนจะเริ่มเขียนต่อ

 

 

 

…………………………………………………………

 

 

 

‘ในที่สุดวันนี้ก็กล้าเข้าไปคุยจนได้’ เขานั่งคิด ยกมือขึ้นเท้าคางดวงตาเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง ก่อนจะค่อยๆล้วงเข้าไปหยิบเอาก้อนกระดาษออกมาจากกระเป๋ากางเกง ริมฝีปากสีชมพูยกยิ้มขึ้น

 

 

 

ตากลมเหลือบไปมองหนังสือเล่มหนาที่วางอยู่บนชั้นหนังสือ หนังสือที่เขาไปเจอที่ร้านหนังสือเก่าเมื่อหลายอาทิตย์ก่อน ซึ่งคุณยายเจ้าของร้านโฆษณานักหนาว่าได้ผลอย่างนั้นได้ผลอย่างนี้ เขาเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งแต่ก็ตัดใจซื้อมาลอง

 

 

 

ต้องยอมรับว่ามันได้ผลจริงๆ เขาอมยิ้มก่อนจะหันกลับมาจ้องมองท้องฟ้ายามราตรีต่อ หนังสือเล่มหนาบนชั้นเล่มเป็นสีน้ำเงินมอๆไม่โดดเด่นหากแต่ชื่อหนังสือที่อยู่ตรงสันกลับเด่นชัดสลักไว้ด้วยตัวอักษรสีทองว่า

 

 

 

‘หนังสือทำเสน่ห์’

 

 

 

………………………………………………………………….

 

 

 

“ทำอะไรอยู่น่ะยาย” เด็กชายตัวเล็กขยี้ตาตัวเองอย่างงัวเงียพลางส่งเสียงถามคุณยายที่นั่งเขียนอะไรยุกยิกๆใส่เศษกระดาษ

 

 

 

“ยายกำลังจะแก้หนังสือนิดหน่อยน่ะ ยายคิดว่าคาถาสองอันนี้มันดูเว่อร์ๆไปหน่อย เดี๋ยวคนเขาจะไม่เชื่อ” หญิงสาวร่างท้วม ใบหน้าเหี่ยวย่นตามอายุขัยหันมาตอบหลานชาย

 

 

 

“อะไรน่ะ คาถาทำเสน่ห์บทที่เก้า ให้เขียนคำว่า ‘ชอบ’ ลงในกระดาษ แล้วเอาไปให้คนที่ชอบ ซึ่งทำยังไงก็ได้ไม่ให้อีกฝ่ายรู้ว่าใครเป็นคนให้ แล้วก็ต้องหาวิธีที่จะทำให้ได้รับกระดาษแผ่นนั้นคืนมาเป็นของตนไม่ว่าจะโดยวิธีอะไรก็ตาม ถ้าทำอย่างนี้แล้วจะสมหวังเรื่องความรักกับคนๆนั้นทันที หนังสืออะไรเนี่ย!?” เด็กชายร้องเสียงหลงทันทีที่อ่านจบ

 

 

 

“ก็เคล็ดลับสร้างรักไงล่ะ เอ้า! ไหนๆก็มาแล้ว ช่วยกันแก้อันนี้หน่อยสิ” นิ้วมือเหี่ยวย่นชี้ไปยังหัวข้อในกระดาษที่วางไว้อย่างเกะกะ

 

 

 

“คาถาทำเสน่ห์บทที่สามสิบ ให้เขียนคำว่าชอบลงในกระดาษสีชมพู แล้วให้นำกระดาษแผ่นนี้ไปให้คนที่ชอบ ทำยังไงก็ได้ให้อีกฝ่ายพกกระดาษแผ่นนี้ติดตัวไว้ตลอดหนึ่งสัปดาห์ แล้วเขาคนนั้นก็จะเข้ามาหาคุณเอง โห…โคตรจะไม่น่าเชื่อถือเลย จะมีใครหน้าไหนที่กล้าทำตามเนี่ย” เด็กชายบ่นอุบอิบ

 

 

 

“ฉันถึงได้จะแก้อยู่นี่ไงเล่า! อย่าพูดมากเลย มาช่วยฉันคิดดีกว่า”

 

 

 

……………

…………

……….

……

 

 

กระแสลมกรรโชกจากหน้าต่างที่เปิดค้างไว้ส่งผลให้กระเป๋านักเรียนที่วางหมิ่นเหม่อยู่บนโต๊ะเขียนหนังสือหล่นลงมากระแทกกับพื้น ท่ามกลางหนังสือเรียนยับยู่ยี่ เศษขนม และเศษกระดาษต่างๆซึ่งกระจายออกมาจากปากกระเป๋าที่รูดซิปไม่สนิทตามแรงโน้มถ่วงของโลก กระดาษการ์ดสีชมพูอ่อนขนาดเล็กเท่านามบัตรแผ่นหนึ่ง กำลังส่องประกายวาบวับย้อกับแสงจันทร์ที่ลอยเด่นอยู่ยามราตรี…………

 

 

 

 

=====================

 

[HxH][HisoxGon] You’re mine [1]

Title : You’re Mine [1]
Fandom : Hunter x Hunter
Pairing : HisoxGon,IlumiXKillua
Rate : NC15
Note : เรื่องนี้มีสองคู่ค่ะ พาร์ทแรกจะเป็นฮิโซกะxกอน แล้วถึงจะเป็นพาร์ทของอิรูมิxคิรัวร์ นะคะ เป็นเรื่องแรกๆที่เคยแต่งไว้นานแล้ว แล้วก็เคยลงไว้ใน Exteen ด้วยค่ะ เดี๋ยวจะย้ายฟิคจาก exteen มาลงที่นี่ให้หมดเลย เพราะไม่ค่อยได้เข้าที่นั่นแล้วค่ะ >< อนึ่ง เป็นเรื่องต่อยอดจากตอนที่พวกคิรัวร์ได้เป็นฮันเตอร์แล้วมาฝึกการต่อสู้ที่หอคอยกลางหาว หวังว่าคงไม่งงกันนะคะ แฮ่ะ

 

—————————————–

 

ย้อนกลับไปเมื่อสี่ชั่วโมงก่อนหลังจากต่อสู้กับเหล่านักสู้บนชั้นที่สองร้อยเสร็จสิ้น เขากับคิรัวร์ก็ตัดสินใจไปเดินเล่นกันในย่านการค้าเพื่อคลายเครียดและพักผ่อนหย่อนใจ

 

 

ขณะที่กอนทิ้งร่างลงนั่งบนม้านั่งยาวใกล้กับสวนสาธารณะ ระหว่างรอคิรัวร์ที่เดินไปกดน้ำกระป๋องจากตู้ขายอัตโนมัติ

 

 

ฉับพลันนั้นกอนจับได้ถึงกระแสจิตสังหารที่แผ่ซ่านมาจากทางเบื้องหลัง จนตัวเขาต้องกระโดดหนีไปตั้งหลักอย่างตื่นตระหนก

 

 

“ฮิฮิ ปฏิกิริยาตอบโต้ยังไวเหมือนเคยเลยนะ” น้ำเสียงราบเรียบติดจะขำขันดังขึ้นก่อนที่เงาสูงใหญ่จะค่อยๆ เคลื่อนออกมาจากหลังพุ่มไม้

 

 

“ฮิโซกะ!” กอนคำรามเสียงดัง มือเล็กยกขึ้นกำหมัดแน่นทั้งสองข้างพลางตั้งท่าเตรียมพร้อมต่อสู้

 

 

“โอ๋ๆ อย่ารีบร้อนขนาดนั้นสิ วันนี้ฉันไม่ได้มาเพราะอยากจะสู้กับเธอหรอกนะ” ฮิโซกะยกนิ้วขึ้นจุ๊ปากที่คลี่ยิ้มอย่างมีเลศนัย

 

 

“แล้วนายต้องการอะไร! ป้ายนั่นฉันก็คืนให้นายไปแล้ว หรือว่านายอยากจะสู้กับฉันอีกรอบ” กอนจ้องเขม็งมองอีกฝ่ายอย่างไม่ไว้วางใจ

 

 

“ก็บอกแล้วไงว่าฉันไม่ได้มาเพื่อสู้กับเธอ…” ฮิโซกะยกมือขึ้นเสยผมสีเงินของตัวเองอย่างระอาใจ เสมือนว่าเขากำลังคุยกับเด็กที่เอาแต่ใจ

 

 

“แล้วนายต้องการอะไร!” กอนกระชากถามเสียงดัง

 

 

“ฉันต้องการ….” ฮิโซกะพูดค้างไว้ก่อนที่ทั้งร่างจะหายวับไปต่อหน้าต่อหน้า

 

 

“..เธอ” กอนเบิกตาโพลงเมื่อคนที่เพิ่งหายลับไปตรงหน้าเขาเมื่อครู่กลับโผล่มาอยู่เบื้องหน้าเขาในระยะประชิดพร้อมด้วยน้ำเสียงราบเรียบที่กระซิบอยู่ข้างหู

 

 

เมื่อฮิโซกะพูดจบ ฝ่ามือหนาก็จงใจเงื้อขึ้นหมายจะฟาดลงมาที่หลังคอของกอน หากแต่ร่างที่ควรอยู่ตรงหน้ากลับถูกแรงบางอย่างกระชากจนร่างนั้นปลิวหวือถลาไปกับพื้น หลบฝ่ามือที่ฟาดลงมาได้อย่างเฉียดฉิว

 

 

“โอ๊ย…เจ็บจัง” กอนโอดครวญเสียงเบา ร่างเล็กค่อยๆ ยันตัวลุกขึ้นนั่ง พลางยกมือขึ้นปัดเศษหินที่ทิ่มแทงอยู่ตรงหัวเข่าออก

 

 

“ไม่เป็นไรใช่มั้ย?” คิรัวร์ที่ล้มอยู่ข้างกันลุกขึ้นนั่งก่อนจะส่งเสียงถามเพื่อนตัวเล็ก

 

 

“อื้ม ขอบใจนะที่ช่วย ไม่เป็นไรหรอก” กอนคลี่ยิ้มให้ ปากเล็กส่งเสียงร้องเบาๆ ยามดึงเศษหินที่ทิ่มอยู่ตรงหัวเข่าออก เลือดสีแดงฉานไหลซึมออกมาตามหัวเข่าช้าๆ

 

 

“ขอโทษนะ ฉันวู่วามไปหน่อย นึกวิธีอื่นที่จะช่วยนายให้พ้นเงื้อมมือหมอนั่นไม่ออกจริงๆ เลยทำให้นายต้องเจ็บตัวเลย” คิรัวร์หลุบตาลงต่ำอย่างสำนึกผิด ก่อนจะหันไปจ้องมองร่างสูงใหญ่ที่ยืนกอดอกจ้องมองมาทางพวกเขา ขณะระบายรอยยิ้มยากเดาอารมณ์อยู่ตรงมุมปาก

 

 

“พวกเธอนี่…รักกันจังเลยน้า” ว่าพลางเดาะลิ้นด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม หากแต่ตรงข้ามกับบรรยากาศรอบๆ ตัวที่เริ่มแผ่จิตสังหารออกมา

 

 

“แก…ตั้งใจจะทำอะไรกับกอนกันแน่!” คิรัวร์คำรามอย่างโกรธแค้น ร่างบางพุ่งถลาไปที่หาของฮิโซกะพลางกางนิ้วและเล็บออกทั้งสองมือหมายจะปลิดชีพคนตรงหน้า

 

 

“โว้วๆ สีหน้าแบบนั้นนี่น่าประทับใจจัง มันทำให้ฉันเริ่มมีอารมณ์ขึ้นมาน่ะ” ฮิโซกะปรบมือเสียงดังอย่างยินดีระหว่างที่หลบเลี่ยงการโจมตีของคิรัวร์อย่างง่ายดาย

 

 

 

…ฟิ้ว…

 

 

 

เสียงไพ่ที่ลอยเฉียดใบหน้าของคิรัวร์เรียกให้เลือดให้ซึมออกมาตามบาดแผลเป็นทางยาว คิรัวร์ยกหลังมือขึ้นเช็ดเลือดออกก่อนจะหันกลับมาเผชิญหน้ากับนักมายากลที่กรีดไพ่ในมือให้ลอยละล่องอยู่บนอากาศอย่างอารมณ์ดี

 

 

“อ้าว? โดนหรอกเหรอเนี่ย อุตส่าห์แกล้งปาไปส่งๆ แล้วเชียวน้า” ฮิโซกะว่ายิ้มๆ นิ้วชี้กับนิ้วกลางชักขึ้นหนีบเอาไพ่ที่ลอยเคว้งเป็นวงกลมอยู่กลางอากาศมาหนึ่งใบ ดวงตาเรียวคมปราดสีเทาจ้องมองร่างของคิรัวร์อย่างเฉียบคม

 

 

“ฉันจะเริ่มเอาจริงแล้วนะ หลบให้ดีๆ ล่ะ” ว่าจบนิ้วยาวที่มีไพ่สอดเอาไว้ระหว่างกลางก็ตั้งท่าหมายจะเหวี่ยงไพ่ใบนั้นออกไปยังเป้าหมายที่ยืนนิ่งอย่างตกตะลึง

 

 

 

…หมับ…

 

 

 

“อย่าทำอะไรคิรัวร์นะ!” แขนเรียวเล็กโอบรอบกล้ามแขนฮิโซกะเอาไว้แน่น

 

 

“หืม?” ฮิโซกะเหลือบหางตามามองกอนที่เกาะแขนเขาแน่นอย่างกับลูกลิง ดวงตากลมโตสีน้ำตาลนั้นจ้องมองหน้าเขาอย่างเอาเรื่อง

 

 

“ห้ามทำอะไรคิรัวร์นะ!” เสียงห้าวเล็กแบบเด็กหนุ่มที่ยังไม่โตตะโกนสุดเสียง แม้ท่อนแขนที่เกาะเขาไว้จะสั่นระริกเพียงใด หากแต่แววตาที่มุ่งมั่นนั้นยังฉายแววไม่ยอมแพ้ต่อความกลัวที่มีต่อเขา

 

 

ฮิโซกะยิ้มขำอย่างอารมณ์ดี เขาลดมือที่ถือไพ่ลง สะบัดมือหนึ่งทีไพ่ที่อยู่ในมือก็หายวับไปราวกับธาตุอากาศ

 

 

“ฉันไม่ทำร้ายเขาหรอกน่า ก็แค่หยอกเล่นนิดหน่อยเอง เนอะ… คิรัวร์ แผลนั่นคงไม่ทำให้นายเจ็บเท่าไหร่หรอกใช่มั้ย?” ฮิโซกะหันไปฉีกยิ้มถามคิรัวร์ที่กัดฟันกรอดด้วยอารมณ์โกรธแค้น

 

 

“แค่เล่นงั้นเหรอ! อย่ามาพูดให้ขำหน่อยเลย ถ้ากอนไม่มาห้ามไว้แกคงฆ่าฉันไปแล้ว กอน! ออกห่างจากเจ้าหมอนั่นซะ!” ประโยคแรกเจ้าของเส้นผมสีเงินตัดสั้นนั้นพูดกับฮิโซกะ ส่วนประโยคที่สองกลับกลายมาเป็นประโยคสั่งเพื่อนสนิทซะอย่างนั้น

 

 

“อ่ะ…โอเค” กอนตะลีตะลานปล่อยแขนที่จับฮิโซกะเอาไว้ออก หากแต่มือหนาเอื้อมมาช้อนร่างเล็กขึ้นไปแนบอกด้วยแขนข้างเดียว

 

 

“เอ๊ะ!?” กอนทำสีหน้างงงวย มือเล็กพยายามดันอกคนตรงหน้าให้ออกห่าง

 

 

“แก! ปล่อยกอนนะ!” คิรัวร์เงื้อหมัดตั้งใจจะชกร่างใหญ่นั่นให้หงายคว่ำ

 

 

“กอน รอนี่ก่อนนะ” ฮิโซกะก้มลงกระซิบริมใบหูเล็กก่อนจะปล่อยร่างกอนให้ลงไปยืนบนพื้น มือแข็งแรงกำหมัดขวาตัวเองไว้แน่นครั้นรีดเร้นพลังกายออกมาจนเส้นเลือดที่แขนโปดปูน

 

 

“…คิรัวร์” กอนตาค้างเมื่อมองเห็นหน้าฮิโซกะที่มีจิตสังหารห้อมล้อมอยู่รอบตัว

 

 

ไม่ผิดแน่! ถ้าคิรัวร์วิ่งเข้ามาถึงตัวฮิโซกะ คิรัวร์อาจโดนหมัดนั้นเข้าไปเต็มๆ

 

 

ถึงรู้อยู่เต็มอกว่าคิรัวร์เก่งกาจขนาดไหน แต่ในยามนี้ฮิโซกะไม่ใช่คู่มือที่พวกเขาจะปราบได้ง่ายๆ หมัดนั้นหากโดนเข้าคงไม่ถึงตายแต่ก็อาจปางตายได้

 

 

“หยุดนะ!” คิดได้ดังนั้น ร่างเล็กก็ถลาเข้าไปตรงกลางเพื่อหวังจะหยุดการต่อสู้ของทั้งสู้โดยไม่เกรงกลัวต่อหมัดทั้งสองฝ่ายที่กำลังเงื้อเข้ามาใกล้เขาทุกที

 

 

“กอน!/กอน!” ฮิโซกะและคิรัวร์ตะโกนขึ้นพร้อมกัน ทว่า พวกเขาหยุดหมัดนี้ไม่ทันเสียแล้ว

 

 

…ผัวะ…

 

 

ร่างเล็กลอยหวือตกลงไปในน้ำพุประดับกลางสวนสาธารณะ แก้มทั้งสองข้างบวมแดงจากแรงกระแทก เลือดสีแดงสดไหลจากจมูกเล็กเป็นทาง

 

 

“กอน!” กอนยังคงได้ยินเสียงเรียกของคิรัวร์แว่วมาเป็นระยะ หากแต่เปลือกตาเขามันหนักอึ้งจนแทบจะปิด ทำให้เขามองเห็นแค่ภาพเพียงเลือนราง ครั้นเมื่อพยายามจะส่งเสียงตอบเขากลับเค้นเสียงไม่ออกเหมือนกับเรี่ยวแรงได้เหือดหายไปหมด

 

 

เสียงทะเลาะของคิรัวร์และฮิโซกะยังคงดังต่อเนื่องให้เขาได้ยินมาแว่วๆ กอนอยากจะตะโกนบอกทั้งสองคนว่าเรื่องนี้ไม่มีใครผิด เขาเป็นคนผิดเองที่ไปขวาง แต่ตอนนี้เขารู้สึกเพลียและระบมเหลือเกิน…

 

 

เปลือกตาหนักอึ้งค่อยๆ ปิดลงช้าๆ กอนยังคงนอนแผ่แช่น้ำอยู่ในน้ำพุเย็นเฉียบพักใหญ่ กระทั่งรู้สึกได้ถึงวงแขนที่ช้อนตัวเขาขึ้น ถึงแม้จะไม่รู้ว่าเป็นคิรัวร์หรือฮิโซกะที่เป็นคนอุ้มเขาขึ้นมาแต่เขาก็รู้สึกขอบคุณจริงๆ ที่อย่างน้อยก็เลิกทะเลาะกันและช่วยเขาขึ้นมาจากบ่อน้ำเสียที กอนคลี่ยิ้มออกมาน้อยๆ ก่อนที่เขาจะรู้สึกเหมือนสติดับวูบไปอย่างสมบูรณ์

 

 

ร่างเล็กบนเตียงขยับอย่างยากลำบาก กอนรู้สึกถึงความร้อนระอุที่ประทุออกมาจากร่างของตัวเองราวกับไฟ ริมฝีปากเล็กแตกและแห้งผาก เหงื่อเม็ดน้อยไหลพราวจนโซมกาย ส่งผลให้คนที่นั่งอยู่ข้างเตียงต้องคอยเอาผ้าชุบน้ำเช็ดไปตามลำตัวให้อยู่เรื่อยๆ

 

 

“อือ…” ร่างเล็กส่งเสียงอื้ออึงอย่างรำคาญผ้าที่ไล้ไปตามลำคอ เปลือกตาหนักอึ้งค่อยๆ ลืมขึ้น ดวงตากลมโตจ้องมองเพดานสีขาวตรงหน้าอย่างมึนงง

 

 

“ตื่นแล้วเหรอ” ฮิโซกะพูดพลางนำผ้าขนหนูลงไปแช่ในกะละมังใบเล็กที่ใส่น้ำจนเต็ม

 

 

“ฮิโซกะ…” น้ำเสียงแหบพร่าถูกเปล่งออกมา กอนชันตัวลุกขึ้นนั่งบนเตียงโดยมีคนร่างสูงคอยพยุงช่วย ร่างเล็กนั่งคิดทบทวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยสีหน้าเบลอๆ ก่อนที่ดวงตากลมโตจะเบิกออกกว้าง

 

 

“เฮ้ยยย! นายพาฉันมาที่นี่ทำไมเนี่ยฮิโซกะ!” กอนโวยวายเสียงดังลั่นเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเมื่อคืนนี้เกิดอะไรขึ้น และเขาคงใช้แรงตะโกนมากไป เขาถึงเริ่มรู้สึกมึนหัวจนร่างหล่นตุ้บไปกองกับพื้นเตียง

 

 

“อย่าโวยวายเสียงดังสิ ฉันก็แค่รักษาแผลให้เธอเท่านั้นแหละนะ” ฮิโซกะพูดพลางอมยิ้มอย่างนึกเอ็นดู

 

 

“ยิ้มอย่างนั้นหมายความว่าไง! แล้วคิรัวร์ล่ะ!” กอนหนีไปจนชิดริมหัวเตียงอย่างหวาดระแวง ฮิโซกะหัวเราะออกมาน้อยๆกับปฏิกิริยานั้น

 

 

“คิรัวร์น่ะเหรอ ป่านนี้ก็คงกำลังตามหาเธออยู่ล่ะมั้ง ถ้าลุกขึ้นมาไหวอ่ะนะ หึหึ” น้ำเสียงที่แค่นหัวเราะอย่างมาดร้ายส่งผลให้คนร่างเล็กขนลุกเกรียวอย่างห้ามไม่อยู่

 

 

“แก!! ทำอะไรคิรัวร์น่ะ” กอนลุกขึ้นยืนบนเตียงแม้จะยังปวดหัวตุบๆ มือเล็ดตั้งท่าการ์ดเตรียมการต่อสู้

 

 

“หืม…ใจร้ายจังเลยนะ ฉันไม่ทำอะไรร้ายแรงอย่างนั้นหรอกน่า ก็แค่…” ฮิโซกะคลานเข่าขึ้นมาบนเตียงช้าๆ

 

 

“…ชกไปแค่ไม่กี่หมัดเท่านั้นเอง” ปลายนิ้วชี้ของฮิโซกะขยับทันทีที่พูดจบ ส่งผลให้ข้อเท้าของกอนที่ไม่รู้ว่าถูกบันจี้กั้มป์แปะไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ลอยหวือขึ้นไปเหนือเตียงก่อนที่ร่างเล็กจะหงายท้องหล่นตุ้บกระแทกลงกับเตียงนุ่ม และยังไม่ทันที่กอนจะได้ทันลุกขึ้นมาหายใจหายคอ ข้อเท้าก็ถูกกระชากลอยหวืออีกครั้ง

 

 

“เหวอออ!!” กอนร้องเสียงหลงเมื่อประทะเข้ากับแผงอกกว้างของฮิโซกะ

 

 

“แต่ไม่ต้องห่วงหรอกนะ ฉันออมแรงไว้เยอะเลย เขาไม่ตายหรอก” ฮิโซกะกอดกอนที่อยู่ในอ้อมแขนแน่น ก่อนจะก้มลงไปกระซิบข้างหูเบาๆ
“ที่ต้องห่วงนะ คือตัวเธอมากกว่า”

 

 

“อื้อออ” กอนหันหน้าหลบไปอีกทางทันทีที่ฮิโซกะเลียใบหูของเขา

 

 

“ตั้งใจจะทำอะไรกันแน่! ปล่อยฉันนะ” กอนโวยวายเสียงดัง มือเล็กพยายามจะยกหมัดเพื่อชกหน้าฮิโซกะแต่กลับถูกคนร่างใหญ่กว่ารับหมัดเอาไว้ได้

 

“ไม่เอาน่ากอน อย่าใช้ความรุนแรงสิ ร่างกายเธอยังไม่หายดีเลยนะ” ฮิโซกะหยัดยิ้ม ก่อนจะออกแรงบีบไปยังมือที่รับหมัดเอาไว้จนกระทั่งได้ยินเสียงร้องอย่างเจ็บปวดของร่างในอ้อมกอดถึงค่อยคลายมือออก

 

 

“อย่าดื้อนักเลยน่า นอนรักษาตัวเฉยๆ เถอะเดี๋ยวก็ไม่หายไข้กันพอดี” ฮิโซกะวางร่างกอนลงบนเตียงอย่างเบามือ หากแต่ร่างเล็กกระถดตัวหนีไปชิดริมหัวเตียงทันทีที่ถูกวาง

 

 

“ฉันจะไปหาคิรัวร์” ดวงตากลมโตจ้องมองฮิโซกะอย่างไร้แววหวาดหวั่น ฮิโซกะจ้องมองดวงตานั้นตอบอย่างหลงใหล เขาเผลอแลบลิ้นเลียริมฝีปากตัวเองโดยไม่รู้ตัว มือหนากำแน่น เล็กจิบเข้ากับเนื้อด้านในจนได้เลือด เขากำลังพยายามสะกดกลั้นความต้องการทางเพศที่เริ่มประทุอย่างเต็มความสามารถโดยคนร่างเล็กที่ยังคงจ้องมองหน้าเขาไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลย

 

 

“….หืมม อยากไปหาคิรัวร์งั้นเหรอ?” หลังจากที่หลับตาเพื่อให้ตนเองสงบสติอารมณ์ลง ฮิโซกะก็หันมาพูดกับกอนที่ยังคงจ้องหน้าเขาไม่วางตา
“แน่นอนสิ เพราะคิรัวร์เป็น….อ๊ะ!?” ยังไม่ทันที่กอนจะพูดจบ ริมฝีปากอ่อนนุ่มก็ทาบทับลงมาอย่างรวดเร็ว กอนกัดริมฝีปากตัวเองแน่นด้วยความกลัว ฮิโซกะลากลิ้นไล้เลียไปตามเรียวปากของกอนก่อนจะกัดกลีบปากล่างของกอนอย่างแรงจนเลือดไหลซึมออกมา

 

 

“อึ๊!!” กอนหลับตาปี๋น้ำตาไหลซึมออกมาเป็นทางยาวด้วยความเจ็บปวดพลางกัดเม้มริมฝีปากตัวเองแน่นขึ้นอีกเพื่อกลั้นไม่ให้หลุดเสียงร้องออกมา ฮิโซกะลากลิ้นเลียเลือดที่ซึมออกมาจากริมฝีปากกอนอย่างอ่อนโยนราวกับจะปลอบก่อนจะถอนริมฝีปากออกอย่างเชื่องช้า

 

 

“…ขอโทษนะ เพิ่มแผลให้อีกจนได้” ฮิโซกะก้มลงกระซิบที่ข้างหูกอน พลางยกนิ้วขึ้นไล้น้ำตาออกให้

 

 

“…….” กอนหันหน้าหนีมือฮิโซกะที่กำลังเช็ดน้ำตา ก่อนจะยกหลังมือตัวเองขึ้นปาดน้ำตาออกอย่างลวกๆ

 

 

“ขอโทษนะ แต่ฉันคงให้นายไปหาคิรัวร์ไม่ได้” ฮิโซกะพูดเบาๆ

 

 

“ฉันจะไปหาคิรัวร์” กอนพูดเสียงนิ่งๆก่อนจะช้อนสายตาขึ้นเหลือบมองฮิโซกะ ขนตางอนยาวยังคงมีรอยชื้นจากหยาดน้ำตาให้เห็น

 

 

“…….กอน” ฮิโซกะเรียกชื่อกอนเบาๆ มือหนาเอื้อมไปคว้าร่างเล็กมากอด

 

 

“ขอโทษ…. แต่คงไม่ได้หรอก”

 

 

“ทะ…ทำไมไม่ได้ล่ะ” กอนถามด้วยความไม่เข้าใจ มือเล็กพยายามดันอกร่างหนาออก

 

 

“อย่ามากอดฉันนะ!”

 

 

“…กอน ไม่ได้ก็คือไม่ได้นะ อย่าดื้อสิ นี่เธอเป็นไข้อยู่ด้วยนะ” ฮิโซกะยกมือหนาขึ้นทาบกับหน้าผากมนที่ร้อนสุมราวกับไฟ

 

 

“อย่ามาแตะ! ปล่อย! ฉันจะไปหาคิรัวร์…อ๊ะ!?” กอนตะคอกเสียงดัง เขาผละออกจากฮิโซกะได้สำเร็จ หากแต่เมื่อก้าวลงจากเตียงเขาก็รู้สึกว่ามึนหัวไปหมด ร่างทั้งร่างโคลงเคลงก่อนจะหงายล้มลงพอดีกับที่อ้อมแขนแข็งแกร่งยืนมารับได้ทัน

 

 

“เห็นมั้ยล่ะ บอกแล้วว่าอย่าดื้อ” ฮิโซกะอุ้มร่างเล็กไว้ในอ้อมแขนก่อนจะค่อยๆ วางร่างของกอนไว้บนเตียง

 

 

“…คิรัวร์” ปากเล็กเรียกชื่อเพื่อนสนิทออกมาเบาๆ กอนรู้สึกว่าตาเขาพร่าไปหมด

 

 

 

..ปึง ปึง ปึง…

 

 

 

“กอน! กอน!” เสียงรัวเคาะประตูกสลับกับเสียงตะโกนเรียกของคิรัวร์ดังขึ้นมาจากทางหน้าห้อง

 

 

“คิรัวร์! ฉันอยู่นี่!!” กอนเบิกตาโพลง ก่อนจะตะโกนสุดเสียง เขาผลักร่างฮิโซกะออกแล้ววิ่งถลาไปยังบานประตู

 

 

“อ๊ะ!?” ยังไม่ทันจะถึงบานประตูร่างของกอนก็ลอยหวือกลับมาประทะเข้ากับแผงอกของฮิโซกะอีกครั้ง

 

 

“ถ้านายอยากให้ฉันฆ่าเขาล่ะก็ ลองวิ่งไปเปิดประตูอีกรอบดูสิ” ฮิโซกะพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาและไร้แววล้อเล่น

 

 

“กอน! นายอยู่ที่นี่ใช่มั้ย ฉันจะพังเข้าไปแล้วนะ” เสียงของคิรัวร์ตะโกนขึ้นพร้อมๆกับเสียงชกบานประตูอย่างแรง

 

 

“เฮ้อ…ช่วยไม่ได้นะ” ฮิโซกะถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย เขาผลักตัวกอนให้นั่งลงบนเตียง ก่อนจะเดินไปยืนตรงหน้าบานประตู

 

 

“ปึง!!”บานประตูที่ลอยหวือออกมาถูกเน็นของฮิโซกะปัดไปอีกทางหนึ่งจนกระแทกเข้ากับผนังห้องเสียงดังลั่น

 

 

“แก…ฮิโซกะ คืนกอนมาเดี๋ยวนี้!” คิรัวร์คำรามเสียงรอดไรฟันอย่างโกรธแค้นพลางเดินย่างสามขุมเข้ามาหาฮิโซกะที่ยืนกอดอกพลางยกยิ้มเย็นชา

 

 

“หึ! กอนน่ะเป็นของฉัน” ฮิโซกะพูดด้วยใบหน้าระบายยิ้มทว่าน้ำเสียงกลับแฝงไปด้วยรังสีอำมหิต

 

 

“คิรัวร์! คิรัวร์!” กอนวิ่งถลาไปยังคิรัวร์ที่ยืนอยู่ตรงหน้าประตูแต่กลับถูกฮิโซกะคว้าแขนแล้วกระชากกลับมาจนร่างของกอนประทะเข้ากับแผงอกของฮิโซกะเต็มแรง

 

 

“กอน! แก…ปล่อยกอนนะ!” คิรัวร์ตั้งท่าเตรียมจะต่อสู้ เขากางเล็บออกและจู่โจมทันที

 

 

“ไม่-มี-ทาง”  ฮิโซกะเน้นคำชัดเจนทีละคำก่อนจะอุ้มกอนแล้วกระโดดหลบการโจมตีของคิรัวร์ เขากระโดดออกไปยืนใกล้ริมบานหน้าต่างและเหยียดยิ้ม

 

 

“นายก็รู้ว่าสู้ฉันไม่ได้ แต่ฉันไม่อยากฆ่านายหรอกนะ เพราะมันจะทำให้กอนเสียใจ”

 

 

“กอน!” คิรัวร์พุ่งเข้ามาหาฮิโซกะพร้อมกับยื่นมือออกมาหมายจะจับมือของกอน

 

 

“คิรัวร์!” กอนยื่นมือออกไปสุดแขนหวังจะคว้ามือคิรัวร์ที่ยื่นมา

 

 

“เสียใจด้วยนะ ที่ฉันจะยอมให้มันเป็นอย่างนั้นไม่ได้” เมื่อฮิโซกะพูดจบก็กระโดดออกไปทางหน้าต่างพร้อมกับหันมาส่งยิ้มเยาะให้กับคิรัวร์ที่ยืนทำหน้าตกใจ

 

 

“คิรัวร์!!” กอนตะโกนเรียกคิรัวร์สุดเสียงก่อนจะสัมผัสได้ถึงฝ่ามือหนักๆ ฟาดเข้ามาที่หลังคออย่างแรง

 

 

“กอน!” กอนรู้สึกเหมือนว่าเปลือกตาของตัวเองได้ปิดลงอย่างช้าๆ เสียงตะโกนของคิรัวร์ค่อยๆเลือนหายไปพร้อมๆกับความมืดที่เข้ามาแทนที่

 

 

…………………………………………

 

 

“อืมม…” กอนพลิกตัวหนีจากวัตถุหยุ่นนุ่มอุ่นที่ประทับอยู่บนหน้าผาก เขายกมือขึ้นปัดมันออกอย่างรำคาญ

 

 

“คิกคิก น่ารักจริงๆ” เสียงหัวเราะคิกคักดังขึ้นข้างหูพร้อมด้วยวัตถุนุ่มอบอุ่นที่ประทับเข้ามาอีกครั้งตรงข้างแก้ม

 

 

“อืม…” กอนปรือตาขึ้นมองช้าๆ ดวงตากลมโตเบิกกว้างขึ้นเมื่อเห็นฮิโซกะนอนมองหน้าเขาอยู่

 

 

“เหวอออ!” กอนผงะตัวหนีถอยกรูดไปจนชิดริมหัวเตียงอย่างหวาดหวั่น ฮิโซกะในสภาพผมเปียกลู่กับชุดคลุมอาบน้ำสีขาวที่สาบเสื้อแหวกออกจนเห็นแผงอกดูยั่วยวนจนกอนเผลอจ้องมองอย่างหลงใหล

 

 

“น่ารักจังเลยนะ เด็กดี” ฮิโซกะอมยิ้มกับท่าทางของกอนที่คล้ายกับลูกแมวตัวน้อยระแวงภัยตลอดเวลา

 

 

“คิ…คิรัวร์ล่ะ? นายทำอะไรเขา” กอนถามเสียงสั่น

 

 

“หึ! คิรัวร์อีกแล้ว ตื่นมาก็ทำให้ฉันไม่สบอารมณ์เลยนะ” ฮิโซกะแค่นหัวเราะ “คิรัวร์ไม่มีทางมาตามนายที่นี่ได้หรอก”

 

 

“มะ…หมายความว่ายังไง”

 

 

“ก็หมายความว่า…” ฮิโซกะค่อยๆคลานเข่าเข้ามาหากอน

 

 

“ที่นี่น่ะต่อให้เป็นคิรัวร์ก็ตามไม่เจอหรอก”

 

 

“เอ๊ะ!?” กอนส่งเสียงในลำคออย่างสงสัย

 

 

“ที่นี่น่ะเป็นเกาะทางตอนใต้ที่ไม่ได้ระบุในแผนที่” ฮิโซกะอมยิ้มก่อนจะฉวยหอมแก้มกอนฟอดใหญ่

 

 

“ที่นี้เราจะได้อยู่ด้วยกันสองคน ไม่ต้องมีใครมารบกวนแล้วนะ”

 

 

“ปล่อยฉันนะฮิโซกะ!” กอนผลักฮิโซกะออกก่อนจะวิ่งถลาไปยังบานประตูที่อยู่ไม่ไกล

 

 

“ไร้ประโยชน์น่า” ฮิโซกะยิ้มเยาะก่อนจะยกนิ้วชี้ใช้บันจี้กั้มป์ดึงกอนกลับมาบนเตียง

 

 

“บันจี้กั้มป์ของฉันน่ะนะ ถ้าฉันไม่ถอนออกให้ เธอก็ไม่มีวันหนีไปได้หรอกนะ รู้มั้ย? กอน…” ฮิโซกะเหยียดยิ้ม

 

 

“กอนจะต้องอยู่กับฉันที่นี่และเป็นของฉันตลอดไป”

 

 

“ไม่มีทาง! ฉันไม่ยอมหรอก” กอนตะโกนสุดเสียงก่อนจะกระโดดไปตั้งการ์ดเตรียมต่อสู้ พร้อมกับปล่อยพลังเน็นออกมาตั้งรับ

 

 

“หึ เปล่าประโยชน์น่ากอน” ฮิโซกะค่อยๆเดินเข้ามาใกล้

 

 

“อย่าทำอย่างนี้สิ อย่างนี้มันทำให้ฉันเกิดอารมณ์ไม่ใช่รึไง” ฮิโซกะแลบลิ้นเลียริมฝีปากตัวเอง ดวงตาสีเทาจ้องมองกอนอย่างหื่นกระหาย

 
“เอ๊ะ!? หมายความว่าไง” กอนถามด้วยความไม่เข้าใจทว่ายังไม่หยุดปล่อยกระแสเน็น

 

 

“…เฮ้อออ เกิดอะไรขึ้นฉันไม่รู้ด้วยแล้วนะ” ฮิโซกะถอนหายใจออกมาพลางยกมือขึ้นเสยผมตัวเองน้อยๆ ร่างสูงปล่อยเน็นออกมาอย่างเต็มที่ จนกอนตัวแข็งทื่อขยับตัวไม่ได้

 

 

ฮิโซกะเหยียดยิ้ม เขาเดินไปอุ้มกอนที่ยืนตัวแข็งด้วยความหวาดกลัวเน็นของเขามาวางบนเตียงอย่างเบามือ ก่อนที่จะค่อยๆ ถอนเน็นออก
“ฮ้าา…” กอนสูดลมหายใจเข้าปอดเต็มแรงทันทีที่ฮิโซกะถอนเน็นออกไป

 

 

“หึ เธอนี่น่ารักจังเลยนะ” ฮิโซกะหัวเราะออกมาอย่างขบขัน

 

 

“รู้มั้ยตั้งแต่พบกันครั้งแรก ฉันก็หลงใหลมาตลอด” ฮิโซกะก้มลงจูบที่ริมฝีปากของกอนอย่างแผ่วเบาก่อนจะกดหลังคอของกอนเอาไว้แน่นเพื่อไม่ให้กอนขยับหนี

 

 

“อื้อออ” กอนส่งเสียงร้องประท้วงในลำคอทันทีเมื่อรู้สึกถึงฝ่ามืออุ่นหนาที่ลูบไล้บริเวณหน้าท้องของเขา

 

 

ฮิโซกะใช้มือที่ว่างอีกข้างล้วงเข้าไปในกางเกงของกอน นิ้วยาวไล้วนอยู่ตรงช่องทางเบื้องหลัง เขารู้สึกได้ถึงแรงกระตุกจากร่างของกอนเป็นระยะเมื่อเขาค่อยๆกดนิ้วให้จมลึกลงไป

 

 

“อื้อ…อ๊ะ!” ทันทีที่ฮิโซกะถอนริมฝีปากออกกอนก็เผลอหลุดร้องเสียงหลงทันทีที่รู้สึกได้ถึงสิ่งแปลกปลอมที่ขยับเข้าออกอยู่เบื้องหลัง

 

 

“ฮิโซ….อื้อ” กอนกัดริมฝีปากตัวเองแน่น เขาอึดอัดในช่องทางเบื้องหลังจนอยากจะผละหนี แต่อีกใจหนึ่งกลับเรียกร้องอย่างหื่นกระหายจนเขาเผลอแอ่นสะโพกเข้ารับการรุกรานอย่างไม่รู้ตัว

 

 

 

“หึ น่ารักจังเลยนะ กอน” ฮิโซกะหลุดขำ เขาก้มลงไล้เลียใบหูของกอนช้าๆ เพื่อปลุกเร้าอารมณ์ของคนในอ้อมกอดให้กระเจิดกระเจิงมากขึ้นไปอีก

 

 

“กอน…เธอเป็นของฉัน”

 

 

ฮิโซกะพูดและก้มลงจูบที่ริมฝีปากของกอนอย่างอ่อนโยน ก่อนจะถอนริมฝีปากออกและกระซิบที่ข้างหูของกอนอย่างแผ่วเบา

 

 

“ตลอดไป…”

 

…………………………………………………….

 

อากาศยามเช้าสาดส่องเข้ามาทางม่านหน้าต่างจนไปกระทบเข้ากับร่างที่นอนหลับสนิทอยู่บนเตียง ฮิโซกะมองร่างนั้นอย่างหลงใหลก่อนจะก้มประทับจูบลงบนหน้าผากมนและถอนริมฝีปากออก เขาเดินออกมาตรงชานระเบียงหน้าบ้าน

 

 

พึ่บพึ่บพึ่บ

 

 

เสียงเรือบินที่ค่อยๆ ร่อนลงจอดตรงหน้าบ้านของฮิโซกะดังขึ้น เขายืนเท้าแขนตรงราวบันได พลางจ้องมองบุคคลผู้มาเยือนอย่างรู้แก่ใจว่าเป็นใคร

 

 

“ว่าไงอิรุมิ” ฮิโซกะส่งเสียงทักทายเพื่อนสนิทที่ลงจากเรือบินและกำลังเดินเข้ามาหาเขา

 

 

“อืม” อิรุมิส่งเสียงขานรับในลำคอเบาๆ ก่อนจะใช้มือลูบผมที่โดนลมพัดจนยุ่งเหยิงไม่เป็นทรง

 

 

“หึ! ยังไร้มนุษย์สัมพันธ์เหมือนเดิมเลยนะ แล้วเป็นไงล่ะ ได้ตัวแสบนายมามั้ย” ฮิโซกะพูดยิ้มๆ

 

 

“นอนหลับอยู่บนเรือบินโน่นแน่ะ คงโดนฉันทำโทษจนหมดแรงน่ะแหละ” อิรุมิบุ้ยปากไปทางเรือบินที่ดับเครื่องแล้ว

 

 

“แล้วคนของนายล่ะ เป็นไง”

 

 

“รายนั้นยังไม่ตื่นหรอก โดนฉันเล่นไปหลายยกเหมือนกัน” ฮิโซกะตอบด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

 

 

“ว่าแต่นายเถอะ อย่าเล่นคนของนายจนถึงตายแล้วกัน เดี๋ยวคนของฉันจะเสียใจเอา”

 

 

“หึ! ฉันไม่เล่นถึงตายหรอกน่า ยังไงนั่นก็น้องฉัน แต่ก็แค่ต้องสั่งสอนให้รู้จักหลาบจำซักหน่อย จะได้ไม่คิดหนีไปอีก ฉันขี้เกียจตาม” อิรุมิถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย

 

 

“ปากก็บอกว่าขี้เกียจ แต่ฉันก็เห็นนายตามหาทุกที” ฮิโซกะหลุดขำเมื่อเห็นใบหน้าของอิรุมิขึ้นสีแดงจางๆ

 

 

“เอาเถอะน่า! ที่ฉันมาเนี่ยก็จะแวะมาบอกว่าฉันเจอคนของฉันแล้วแค่นั้นแหละ อ้อ…แล้วฉันก็จะกลับตระกูลโซลดิ๊กเลยนะ”

 

 

“จะกลับเลยงั้นเหรอ?” ฮิโซกะทำสีหน้าประหลาดใจ

 

 

“แปลกนะ ปกตินายไม่เคยกลับบ้านเร็วขนาดนี้นี่หน่า หรือว่าช่วงนี้นายไม่มีงาน?”

 

 

“ไม่ใช่อย่างนั้น” อิรุมิส่ายหน้าเบาๆ

 

 

“ฉันตั้งใจว่าจะพาเจ้าตัวแสบไปขังไว้ที่บ้านน่ะ ต้องทำโทษจนกว่าจะเลิกคิดหนี”

 

 

“หืม… นายนี่…ก็ร้ายใช่ย่อยนะ” ฮิโซกะเหยียดยิ้มอย่างรู้ทัน

 

 

“ช่างฉันเถอะน่า!” อิรุมิกระแทกเสียงใส่อย่างหงุดหงิดที่ถูกรู้แกว

 

 

“เอาเถอะ งั้นเอาไว้ถ้าฉันมีงานอะไรให้นายทำแล้วจะติดต่อไปแล้วกันนะ” ฮิโซกะตบบ่าอิรุมิเบาๆ

 

 

“ถ้าเงินดีล่ะก็นะ” อิรุมิพูดทิ้งท้ายก่อนจะเดินกลับไปที่เรือบิน

 

 

“แล้วค่อยเจอกัน” อิรุมิหันมาตะโกนบอกฮิโซกะก่อนจะขึ้นเรือบินไป

 

 

ฮิโซกะโบกมือส่งลาให้จนเรือบินบินขึ้นไปบนฟ้าถึงลดมือลง

 

 

“เอาล่ะกลับไปดูคนของเราดีกว่า” ฮิโซกะพูดพึมพำเบาๆก่อนที่จะเดินเข้ามาในบ้าน เขาเดินไปหยุดยืนตรงหน้าโทรศัพท์ของเขาที่เผลอวางไว้ข้างเตียง หลังจากครุ่นคิดชั่วครู่ ฝ่ามือหนาก็ยื่นออกไปเหนือเครื่องโทรศัพท์ เขาใช้พลังเทคเจอร์พิสดารของตัวเองเปลี่ยนจากโทรศัพท์ให้กลายเป็นแจกันดอกไม้

 

 

“ทีนี้เราก็จะได้อยู่ด้วยกันสองคนตลอดไปแล้วนะกอน”

ฮิโซกะเหยียดยิ้ม ก่อนจะค่อยๆสอดตัวเข้าไปใต้ผ้าห่มและดึงตัวกอนเข้ามาในอ้อมกอด

 

 

“เธอเป็นของฉันตลอดไปนะ กอน”

 

 

=========================

[Tom&Jerry][JxT] Time to get up, sleepyhead !

Title : Time to get up,Sleepyhead!

Fandom : Tom & Jerry

Pairing : Jerry X Tom

Rate : PG

Note : ให้เจอร์รี่เป็นเมะนะคะ เราว่าเจอร์รี่มันเหมาะจะเป็นเมะกว่าอ่ะ 555555

 

 

————————————–

 

เจอรรี่เป็นหนูบ้านตัวเล็กที่ชอบกินชีสเป็นชีวิตจิตใจ เขาจะตื่นนอนแต่เช้าตรู่ ลุกขึ้นมาเปิดม่านผืนเล็กลายดอกไม้ที่เจ้าตัวแอบขโมยมาจากตะกร้าผ้าของคุณนายเจ้าของบ้าน สูดอากาศบริสุทธิ์ยามเช้าให้ชุ่มปอด ก่อนที่จะกลับมาพับผ้าห่มวางไว้อย่างเรียบร้อยที่ปลายเตียงนอน

 

ทุกเช้าในเวลา 7:30 น. ก็จะเป็นเวลาที่เขาจะออกไปหาอาหารทานในตอนเช้า และตุนเสบียงเอาไว้ยามกลางคืนของแต่ละวัน

 

และวันนี้ก็เช่นกัน………

 

ขาเล็กค่อยๆมุดออกมาจากซอกกำแพงที่เจ้าตัวเจาะรูทำเป็นประตูเอาไว้ ดวงตากลมโตจ้องมองเจ้าแมวตัวโตขนสีน้ำเงินเป็นประกายขี้เซาที่นอนอุตุอยู่บนฟูกนอนสีแดงเข้ม ใกล้กันนั้นมีชามทรงกลมสีฟ้าอ่อนมีลายพิมพ์เป็นตัวอักษรภาษาอังกฤษใหญ่ยักษ์เขียนไว้ว่า “ทอม” วางอยู่ ข้างในชามบรรจุเอาไว้ด้วยน้ำนมสีขาวขุ่นซึ่งยังมีควันหอมฉุยที่คุณนายเจ้าของบ้านคงเพิ่งจะเอามาวางไว้ให้

 

และกิจกรรมอีกอย่างที่เจ้าหนูเจอร์รี่ชื่นชอบมากเป็นพิเศษก็คือการแกล้งปลุกเจ้าแมวขี้เซาตัวนี้ด้วยวิธีการต่างๆนานา จนกลายเป็นกิจวัตรประจำวัน

 

วันนี้เองก็เช่นกัน…..

 

ภายในหัวขบคิดแผนการอยู่อย่างเงียบๆ หลังจากคิดสะระตะอยู่นานสองนานจนเกือบจะถอดใจ เจ้าตัวก็พลันไปเห็นจอโทรทัศน์ซึ่งกำลังฉายหนังโรแมนติก

 

ในหนังนั้น เป็นเรื่องราวของหนุ่มน้อยวัยแรกรุ่น ที่เกิดไปตกหลุมรักหญิงสาวคู่กัดซึ่งเป็นเพื่อนสมัยเด็ก หนุ่มน้อยปากแข็งที่ความรักมันคับอก เลยจำต้องหาสารพัดวิธีแอบจีบเพื่อนสมัยเด็กคนนี้แบบเนียนๆ

 

เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่แล้วไม่รู้ ที่เจอร์รี่มัวแต่นั่งจดจ่ออยู่กับภาพยนตร์ยามเช้ากับคุณนายเจ้าของบ้านที่นั่งถักไหมพรมอยู่บนเตียงโยก รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่หน้าจอโทรทัศน์ขึ้นเป็นภาพสีดำตามด้วยเพลงบรรเลงพร้อมเครดิตโปรดิวเซอร์ลอยเด่นขึ้นมา

เมื่อเขาเหลือบมองนาฬิกากุ๊กไก่ที่แขวนอยู่บนผนังก็ต้องตกใจกับเข็มเวลาที่บ่งบอกว่าเป็นตอนเกือบสิบโมงเช้า นี่เขาเสียเวลาไปกับการดูหนังมากมายเหลือเกิน เจอร์รี่คิดอย่างหงุดหงิด แต่เขากลับไม่รู้สึกเสียใจเลยที่ได้ดูหนังเรื่องนั้น

 

เจ้าหนูเจอร์รี่เลิกคิดเรื่องการปลุกเจ้าทอมแมวตัวโย่งขี้เซาที่ตอนนี้ก็ยังคงหลับเป็นสุขอยู่บนฟูกไว้ชั่วคราว ขาเล็กวิ่งพรวดไปที่ห้องครัว พลางก้มๆเงยแอบเก็บเศษชีสที่ร่วงหลนอยู่บนพื้นกระเบื้องสีฟ้าใส เขาแทะเล็มชีสสีเหลืองนวลเนียนกินให้อยู่ท้อง ก่อนจะเก็บอีกส่วนหนึ่งกลับไว้ที่รังเพื่อเป็นของว่างมื้อเย็นสำหรับวันนี้

 

เป็นเวลาเกือบๆเที่ยงครึ่งแล้ว กว่าเขาจะทำทุกอย่างที่ทำจนเป็นกิจวัตรเสร็จสิ้น ขาดก็แต่เรื่องเดียวเท่านั้น…..

 

เสียงกรนน้อยๆเรียกให้เจ้าหนูเจอร์รี่เริ่มหงุดหงิดเอาเสียดื้อๆ รูปร่างเล็กกะทัดรัดปีนป่ายขึ้นไปบนตัวเจ้าแมวซื่อบื้อที่นอนคุดคู้ไม่รู้เรื่องรู้ราว เที่ยงกว่าแล้วเจ้าแมวโง่นี่ก็ยังไม่ได้แตะข้าวเช้าเลยแม้แต่นิด นมที่เคยอุ่นจนร้อนเมื่อเช้า บัดนี้ก็เย็นชืดจนไร้ความน่ากินไปเสียแล้ว

 

มือเล็กดึงหูเจ้าแมวขี้เซาเบาๆ แมวร่างใหญ่เพียงแค่พลิกตัวหันกลับมา เรียกให้เจอร์รี่กระโดดหลบเพื่อไม่ให้ตนเองถูกทับ ทว่า เสียงกรนที่ยังคงดังอย่างต่อเนื่องก็คือคำตอบอย่างดีว่าเจ้าแมวโง่นี่ยังไม่ตื่นจากนิทรา

 

เจอร์รี่ไม่อยากจะยอมรับว่าเขารู้สึกเป็นห่วงเจ้าแมวโง่นี่อยู่หน่อยๆ เพราะหากเป็นยามปกติแล้ว เขาก็จะปลุกทอมแต่เช้า (ซึ่งอาจจะเป็นวิธีการที่โหดร้ายไปสักหน่อย) และหลังจากที่เจ้าแมวตัวโย่งวิ่งไล่กวดเขาจนเหนื่อยหอบเจ้าตัวก็จำต้องกลับมานั่งซดนมอุ่นอึกๆแก้หิว

 

ซึ่งสิ่งนั้นมันทำให้เขาพอใจ

 

“ชิ ไอ้แมวโง่” เจอร์รี่อดจะสบถออกมาไม่ได้ ดวงตากลมโตจดจ้องริมฝีปากสีชมพูที่เผยอออกน้อยๆอย่างเชิญชวน พลันในหัวกลับนึกถึงฉากหนึ่งในหนังที่ดูเมื่อเช้า

 

 

ท่ามกลางอากาศยามเย็น ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีส้มนวลตา เด็กสาวนอนหลับอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ในสวนสาธารณะใกล้บ้านอย่างเป็นสุข โดยหารู้ไม่ว่าเด็กหนุ่มคู่กัดนั้นจดจ้องมองริมฝีปากของเธอมาได้ชั่วครู่แล้ว

เด็กหนุ่มลังเลใจในการจะปลุกเด็กสาวที่เขารักให้ตื่นมาจากห้วงนิทรา ริมฝีปากสีชมพูระเรื่อที่เผยอออกเล็กน้อยนั้นช่างเย้ายวนจนเขาเผลอไผลก้มลงไปทาบทับ ริมฝีปากนุ่มชื้นถ่ายเทความร้อนมาสู่คนที่กำลังหลับใหลให้ลืมตาตื่นขึ้นอย่างงุนงง หญิงสาวเบิกตาโพลงอย่างตกใจระคนสงสัย…….

 

 

ริมฝีปากอบอุ่นทาบทับเข้ากับริมฝีปากเย็นเยือกของทอมผู้หลับใหล จากเบาสลับเป็นหนักหน่วงขึ้นตามลำดับ เสียงครางอื้ออึงดังมาจากผู้ถูกกระทำอยู่เป็นระยะ จนกระทั่งดวงตาเรียวคมปลาบจะค่อยๆลืมขึ้นมาเชื่องช้า

 

เจอร์รี่ถอนริมฝีปากออกอย่างอ้อยอิ่ง ดวงตากลมโตช้อนขึ้นสบกับเจ้าแมวตัวโย่งที่บัดนี้เบิกตาโพลงชะงักค้างจ้องมองพวงหน้าเรียวเล็กของเจ้าหนูคู่กัด

 

ความร้อนผะผ่าวตามใบหน้าที่เห่อร้อนขึ้นมาอย่างแช่มช้า ส่งผลให้เจ้าแมวโง่ทำอะไรไม่ถูก ดูเหมือนว่ากระทั่งแขนขาของเจ้าตัวก็ดูจะเกะกะไปเสียหมด…….

 

 

ณ วินาทีนั้น ทุกสิ่งทุกอย่าง รวมถึงบรรยากาศรอบๆตัวเริ่มเปลี่ยนแปลงไป ไม่เหมือนอย่างที่เคยเป็น……

 

 

 

ใช่….รวมถึงเรื่องราวของแมวและหนูคู่นี้ด้วย

 

 

=============END===========

 

ไม่มีอะไร พอดีนั่งดูทอมแอนด์เจอร์รี่

แล้วเห็นฉากที่เจอร์รี่มันแกล้งปลุกทอมพอดีเบยยยย 55555

เราว่าเจอร์รี่มันมีออร่าเมะมากกว่าทอมอีกนะ (แม้จะเป็นหนูก็เถอะ)

ลองสังเกตุดีๆ เราว่าทอมน่ะอยากเรียกร้องความสนใจของเจอร์รี่มากๆเลยนะ

อย่างตอนที่เจอร์รี่ลำบากก็ช่วยตลอดเลยยยย

ส่วนเจอร์รี่เองก็เหมือนกัน ถึงจะแกล้งทอมกลับแบบเจ็บๆแสบๆ

แต่ก็แอบเป็นห่วงเค้าอยู่เหมือนกันน่ะแหละ ฟฟฟฟฟฟฟ

สรุปแล้วมันซึนทั้งคู่สินะ ถถถถถถถถถถถถถถ

[HG][KageHina] It’s called jealousy

Title : It’s called jealousy

Fandom : Haikyuu!

Pairing : KageHina

Rate : PG

Note : ดูแมทซ์ที่คาราสึโนะซ้อมแข่งกับเนโกตะแล้วเกิดอาการคลั่งอย่างบอกไม่ถูก รู้สึกอยากให้คาเกยาม่าหึงฮินาตะเล็กๆ เอิ๊กกกกก อันที่จริงอยากลองแต่งอินุโอกะ x ฮินาตะอยู่เหมือนกัน ดูแล้วคู่นี้คงน่าจะฟ้าวววดี 5555 คงได้กลายเป็นคู่หูบ๊องๆบวมๆแน่เลยยย =v=

 

 

 

It’s called jealousy

 

 

ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่….. ที่ทิ้งทิฐิและเริ่มปรับตัวให้เข้าหาคนอื่น

ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่…. ที่มักจะมองหาร่างเล็กนั่น

ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่…. ที่เริ่มรู้สึกหงุดหงิดเวลาเจ้านั่นไปคุยกับใครต่อใคร

และไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่……… ที่รู้จักกับคำว่า “ตกหลุมรัก”

มันน่าจะเริ่มตั้งแต่ หลังจากการเล่นเร็วแบบประสานของเราประสบความสำเร็จ

ไม่ก็อาจจะเป็น ตั้งแต่ตอนได้แข่งวอลเล่ย์กันเป็นครั้งแรกเมื่อตอนมอต้น

หรือไม่ก็ ตอนที่เจ้านั่นบอกว่า ให้เชื่อใจ….

 

 

……………….จะเมื่อไหร่ก็ช่างมันเถอะ

 

 

ความเชื่อใจที่เจ้านั่นมอบให้…. ตั้งแต่เกิดมา นี่เป็นครั้งแรกที่ทำให้รู้สึกดีใจ และรู้จักกับคำว่า “ความสุข”

เวลามีคนเชื่อใจเรา…. ความรู้สึกมันเป็นอย่างนี้เองสินะ….

 

 

 

=====================

 

 

 

 

“โอ๊ะ ตัวเล็กชะมัด!”

 

“อย่ามาดูถูกกันนะ!”

 

“ฉันไม่ดูถูกหรอกน่า”

 

 

“จริงเหรอ!?”

 

“อื้ม จริงสิ”

 

 

บทสนทนาธรรมดาๆ ของฮินาตะกับเจ้าบล็อกเกอร์ฝั่งตรงข้ามของโรงเรียนเนโกมะ…. ทั้งๆที่มันก็เป็นแค่บทสนทนาธรรมดาๆ แต่ทำไมมันถึงได้ น่าหงุดหงิดชะมัด!

 

“คาเกยาม่า โคฟเวอร์!” เสียงรุ่นพี่ซาวามูระกัปตันของชมรมดังขึ้นเรียกให้สติสัมปชัญญะกลับมาและสำนึกได้ว่าการแข่งขันได้เริ่มขึ้นแล้ว

 

“ครับ!” ตอบรับเสียงดังฟังชัด สองขาก้าวพรวดไปด้านหน้า นิ้วมือสัมผัสกับความแข็งหากแต่แฝงไว้ด้วยความอ่อนนุ่มของลูกบอลเกลี้ยงกลม ปลายหางตาเหลือบไปเห็นร่างเล็กๆวิ่งพาดผ่านพลางกระโดดทะยานขึ้นสูง

 

 

 

จังหวะนี้แหละ!

 

 

 

เสียงผัวะแรกดังขึ้นจากร่างเล็กที่อยู่ทางด้านหลัง ก่อนเสียงผัวะที่สองจะตามมาติดๆเมื่อลูกบอลกระแทกลงกับพื้นขัดมันฝั่งตรงข้าม

หนึ่งคะแนนเป็นของคาราสึโนะ….

 

“โอ้ว โชวโยว สุดยอดเลย!”

 

“แหะๆ” คนตัวเล็กหัวเราะน้อยๆพลางเกาหลังคอแก้เขิน

 

 

 

หงุดหงิด….

 

 

“คาเกยาม่า!”

 

แว่วเสียงเรียกหลายครั้งหลายหนจากรุ่นพี่ในทีมคนอื่นๆ แม้ร่างกายจะขยับอัตโนมัติ เมื่อเห็นลูกบอลเคลื่อนที่ ปลายนิ้วชื้นเหงื่อเซ็ตลูกอย่างแม่นยำ และป้องกันได้ไม่รู้ตั้งกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง

 

 

แต่ทำไม…. ความหงุดหงิดนี้ มันไม่ยอมจางหายไป…

 

 

การเล่นเร็วแบบประสาน ใช้ไม่ได้อีกต่อไป….

เมื่อไอ้หมอนั่นจับทางฮินาตะได้

แม้เจ้าตัวเล็กนั่นจะหาทางพลิกแพลงและโต้ตอบกลับจนทำคะแนนได้

แต่มันก็ยังไม่พอ……

 

 

เพราะสุดท้ายแล้วคาราสึโนะก็เป็นฝ่ายพ่ายแพ้……

 

 

ทั้งๆที่ควรจะเจ็บใจ และคับแค้น

แต่เจ้าตัวเล็กนั่น กลับร้องขอให้เล่นอีกครั้ง

ในดวงตานั้นเจิดจ้า ไร้ความลังเล

 

 

เราแข่งกันอีกครั้ง…..

อีกครั้ง……

และอีกครั้ง……

 

 

สุดท้ายแล้วคาราสึโนะ ก็ไม่อาจเอาชนะได้แม้แต่แมตซ์เดียว…….

 

 

ก่อนที่จะแยกย้ายกันกลับ ทั้งสองโรงเรียนได้ช่วยกันทำความสะอาดโรงยิมและเก็บอุปกรณ์กันอย่างขะมักเขม้น

 

 

 

“สุดยอดไปเลยนะโชวโยว ตอนที่นาย อร๊ากก นั่นน่ะ… อ๊ะ! ฉันอินุโอกะ อยู่ปี 1”

 

“นายก็เหมือนกันนะ ทั้งที่ตัวใหญ่แท้ๆ แต่กลับ ฟ้าว เปรี้ยง เลยนะ”

 

“ตอนที่นาย อร๊ากกก เนี่ยก็เหมือนกันนะ”

 

“ฉันชอบตอนที่นาย ปุ้ง ด้วยนะ”

 

 

 

 

หงุดหงิด

หงุดหงิดดด!!

 

 

 

มือกร้านยกขึ้นแนบอกตัวเองเอาไว้เพื่อระงับอารมณ์ เหงื่อเม็ดเล็กผุดซึมขึ้นมาตามไรผมก่อนกลิ้งตามโครงหน้ามายังปลายคางและหยดแหมะลงพื้น

 

สายตาเรียวคมจ้องมองไปยังร่างเล็กที่คุยจ้อเสียงสดใสกับมิดเดิ้ลบล็อกฝ่ายตรงข้าม

 

ใบหน้ายิ้มแย้มเวลาคุยนั่นมันอะไร…..

 

ทำไมนายถึงยิ้มอย่างมีความสุขแบบนั้นให้กับคนอื่นล่ะ…. ฮินาตะ

 

แสงอาทิตย์ยามเย็นสาดแสงทอประกายทาบทับร่างของบรรดาเด็กหนุ่มในชุดวอร์มประจำโรงเรียนสีแดงขาวจนเกินเป็นสีดำทอดยาวลงบนพื้น

 

 

“แล้วเจอกันใหม่นะโชวโยว นายเมมเบอร์กับอีเมลล์ฉันไว้แล้วใช่มั้ย”

 

“อื้อ เรียบร้อยแล้วล่ะ แล้วมาเล่นด้วยกันอีกนะ อินุโอกะ!”

 

 

มือทั้งสองข้างกำหมัดแน่นจนเล็บแทบจะจิกเข้าไปในเนื้อ สายตาทอดมองแผ่นหลังนักกีฬาจากโรงเรียนเนโกมะที่ค่อยๆหายลับไปกับแสงอาทิตย์ที่เริ่มคล้อยต่ำลง ปลายหางตาเหลือบมองคนข้างตัวที่โบกมือส่งฝ่ายตรงข้ามโหยงๆ

 

 

“ฮินาตะ” พยายามสกัดกลั้นอารมณ์เอาไว้และส่งเสียงเรียกอีกฝ่ายเรียบๆ

 

“หืม?” ร่างนั้นลดมือที่โบกค้างอยู่ลงพลางหันกลับมามอง

 

“…….หากว่านี่เป็นการแข่งจริง เราคงตกรอบไปแล้ว”

 

“….อืม ฉันรู้” เสียงนั้นตอบรับหงอยๆ พร้อมๆกับเสียงโค้ชอุไคที่เรียกให้ไปรวมตัวดังขึ้นแทรก

 

การแข่งขันก็จบลงไปแล้วแท้ๆ แต่ทำไม…..ความหงุดหงิดนี้มันไม่หายไปล่ะ?

 

“คาเกยาม่า? เป็นอะไรไป โค้ชเรียกรวมแน่ะ” ตากลมโตนั่นหันกลับมาจ้องพลางเอียงคอน้อยๆอย่างน่าเอ็นดู

 

“อืม กำลังจะไปแล้ว”

 

เจ้าตัวเล็กนั่น…. มักจะดึงดูดผู้คนให้เข้าใกล้อยู่เสมอ

 

และรอยยิ้มสดใสนั่นก็มักจะถูกแจกจ่ายไปให้กับทุกคนอย่างทั่วถึง……

หงุดหงิดที่หมอนั่นยิ้มให้คนอื่น…..

หงุดหงิดที่หมอนั่นยอมให้คนอื่นเรียกชื่อจริง…..

หงุดหงิดที่หมอนั่นยอมให้คนอื่นแตะเนื้อต้องตัว…..

 

 

หงุดหงิด….. หงุดหงิด…..

 

 

 

 

นั่น…. คือสิ่งที่ผู้คนเรียกกันว่า “ความหึงหวง”

 

 

 

 

 

แต่ก่อนทีเขาจะทันได้ตระหนักเรื่องนั้น…..

 

 

 

 

 

เขาก็กลับทำเรื่องที่โหดร้ายลงไป……..

 

 

 

 

 

 ===================== 

 

 

 

 

 

เราเจอกันครั้งแรกในฐานะคู่แข่ง

ร่างเล็ก กับพลังในการกระโดดนั่น

ดูก็รู้ว่าเป็นพรสวรรค์……

 

 

 

ทั้งๆที่เป็นอย่างนั้น….. แล้วทำไม…..

 

 

 

“นายไปมัวทำอะไรอยู่ตั้งสามปี!”

 

อดไม่ได้ที่จะตะโกนต่อว่าอีกฝ่ายข้ามเน็ตอย่างหงุดหงิด

 

ร่างเล็กนั่นดูสะดุ้งตกใจกับคำถามที่คนถามไม่ได้ต้องการคำตอบ ก่อนจะก้มหน้านิ่ง

 

“ฉันเองก็ใช่ว่า………”

 

ยังไม่ทันจับใจความประโยคที่กำลังจะเอื้อนเอ่ย เสียงนกหวีดกรรมการก็เป่าขึ้นเพื่อให้เริ่มการแข่งขันต่อ

 

โรงเรียนคิตากาวะไดอิจิชนะไปอย่างขาดลอย

 

“ฉะ…ฉันจะต้องแข็งแกร่งขึ้นแล้วเอาชนะนายให้ได้…..ฮึก….”

 

 

 

อาทิตย์ยามเย็นสาดแสงสีส้มไปยังใบหน้าเรียว เส้นผมและดวงตาสีส้มที่รื้นไปด้วยหยาดน้ำตาทอเป็นประกายเรืองรองราวกับอัญมณี

นั่นคือความทรงจำแรกเกี่ยวกับอีกฝ่ายของเขา…..

 

 

 

………………………………….

 

 

เราเจอกันอีกครั้งในโรงยิมของโรงเรียนคาราสึโนะ

 

ขณะถือวิสาสะเข้ามาหยิบฉวยลูกวอลเล่ย์ พลางซ้อมตบข้ามเน็ตซึ่งถูกติดตั้งไว้ไปเรื่อยเพื่อรอส่งใบสมัครเข้าชมรม

 

เสียงเปิดประตูโรงยิมดังขึ้นเรียกให้หันกลับไปมอง

 

 

 

“อ๊ะ! คาเกยาม่า!! ทำไมอยู่ที่นี่ล่ะ!?”

 

เสียงอันคุ้นเคย เทียบไม่ได้เลยกับใบหน้าที่เคยปรากฏอยู่ในความทรงจำตั้งแต่การแข่งขันระดับมอต้นนั้นสิ้นสุดลง ซึ่งบัดนี้กลับมาปรากฏอย่างเด่นชัดตรงหน้า จนมองเห็นแม้แต่นัยน์ตากลมโตที่ไหวระริกราวกับลูกกวาง

 

“อะ…นายอาจจะจำฉันไม่ได้ แต่เราเคยแข่งด้วยกันตอนมอต้น”

 

เสียงนั่นเอ่ยขึ้นอีกครั้งขณะร่างเล็กเคลื่อนกายมาหยุดยืนต่อหน้า

 

“ฉันจำได้…..”

 

ไม่มีทางที่จะจำไม่ได้……

 

 

 

และนั่นคือการพบกันครั้งที่สองของเรา ระหว่างตัวเขา และ ฮินาตะ โชวโยว….

 

 

พวกเราทะเลาะกันหลายครั้งหลายหน…..

 

ฮินาตะ มุทะลุ และขาดความรอบคอบ

 

หากแต่ ยามที่เจ้าตัวทะยานเหนือเน็ตนั้นดูสว่างเจิดจ้าเช่นเดียวกับชื่อเจ้าตัว

 

ฮินาตะ โชวโยว….. ทะยานและเจิดจ้าไปสู่แสงอาทิตย์

 

ชอบเวลาคนร่างเล็กนั่นตบลูกที่เซ็ตขึ้นไปให้

 

ร่างและมือเล็กนั่นมีแรงส่งได้อย่างน่าเหลือเชื่อ

 

หลายครั้งหลายหน ที่เผลอมองตามภาพนั้น

 

ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่รู้สึกอยากเก็บภาพนั้นไว้เพียงคนเดียว……

 

 

 

ความรู้สึกนั้นมันเพิ่มขึ้นทุกที…. ทวีคูณทุกครั้งที่ได้เจอหน้า

 

ไม่ว่าเขาจะไปที่ไหน…. ทำอะไรกับใคร….

 

เขายิ้มให้ใคร เขาพูดคุยกับใคร….

 

วันนี้เขากินอะไร เขาทำอะไรก่อนนอน….

 

 

อยากรู้……

 

 

อยากรู้ทุกเรื่องของเขา…..!

 

 

ไม่รู้มันเริ่มตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ยื่นคำขาดให้อีกฝ่ายต้องรายงานทุกเรื่อง

 

 

ไม่ว่าจะไปทำอะไรอยู่ที่ไหนกับใคร….

 

 

อีกฝ่ายต้องมารายงานทุกเรื่อง…..

 

 

ฮินาตะปฏิเสธไม่ได้…..

 

 

ไม่สิ…. ฮินาตะไม่สามารถปฏิเสธได้ต่างหาก

 

 

ตราบใดที่อีกฝ่ายต้องการลูกเซ็ตจากเขา….

 

 

อีกฝ่ายจะไม่มีทางปฏิเสธได้!

 

 

ไม่มีทาง!

 

 

และไม่มีวัน!

 

 

 

 

จนกระทั่งวันนั้นที่ได้ทำเรื่องเลวร้ายลงไป…. แมตซ์ซ้อมแข่งกับโรงเรียนเนโกมะ

 

 

การเล่นประสานของเราสมบูรณ์แบบ

 

 

ทว่ามันไม่มากพอที่จะถล่มหมอนั่น…. อินุโอกะ….

 

 

ทำไมหมอนั่นถึงเรียกฮินาตะว่าโชวโยว….

 

 

แล้วทำไมนายถึงยอมให้มันเรียก!

 

 

คาราสึโนะแพ้เนโกมะอย่างราบคาบ

 

 

เซ็ตเตอร์ฝ่ายตรงข้ามมีฝีมือที่น่ากลัว

 

 

บวกกับทีมที่เชื่อมโยงเข้าด้วยกัน

 

 

การเอาชนะจึงไม่ใช่เรื่องที่จะทำกันได้ง่ายๆ

 

 

พวกเราเองก็ทำเต็มที่แล้ว………

 

 

 

จริงเหรอ…..?

 

 

 

ไม่ใช่เพราะเขามัวแต่หงุดหงิดอยู่กับการแข่ง

 

 

ทำให้ส่งลูกให้ฮินาตะพลาดไปตั้งหลายครั้งหรอกเหรอ

 

 

 

 

ส่งลูกพลาด?

 

 

ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกใช่มั้ย….?

 

 

ก็ในเมื่อเขาจงใจส่งลูกพลาดเองนี่

 

 

สายตาที่มิดเดิ้ลบล็อกฝั่งตรงข้ามมองฮินาตะอย่างชื่นชม

 

 

ดวงตาเป็นประกายวาวอย่างสนใจยามเห็นทวงท่าการตบลูกและพลังกระโดดของฮินาตะ

 

 

สายตานั่น…..ทำไมเขาจะไม่เห็น!

 

 

แค่จงใจส่งลูกให้ช้าลง เบี่ยงองศาเล็กน้อย เท่านี้ฮินาตะก็ไม่อาจแสดงความสามารถได้อย่างสมบูรณ์

 

 

ความสามารถของฮินาตะน่ะ เขาเป็นคนดึงมันออกมา แล้วทำไมเขาถึงจะทำลายมันไม่ได้!

 

 

ฮินาตะ….. เป็นของเขาเท่านั้น

 

 

ไม่ว่าใครก็ไม่มีสิทธิ์!

 

 

หลังจบการแข่ง……

 

 

ไอ้หมอนั่นแลกเบอร์และอีเมลล์กับฮินาตะ…..

 

 

ทำไมนายถึงยอมให้ไปได้ง่ายๆ ฮินาตะ!

 

 

 

“เรียกฉันมาที่นี่มีเรื่องอะไรรึเปล่า?”

 

 

เสียงที่เคยสดใสถามอย่างงุนงงเมื่อพาเจ้าตัวมายังหลังโรงเรียนหลังจากโค้ชเรียกประชุมเสร็จสิ้น

 

 

ท้องฟ้าที่สาดแสงสีส้มสลัวจนถึงเมื่อกี้ มืดสนิทจนเห็นเพียงดวงดาวที่ทอประกายอยู่บนฟากฟ้า

 

 

ไฟทางสีเหลืองนวลสาดส่องมาจากทางด้านหลังเผยให้เห็นใบหน้าขาวนวลเนียนอย่างชัดเจน

 

 

“คาเกยาม่า?” ร่างเล็กนั่นหรี่ตาลงก่อนจะส่งคำถาม “ทำไมนายยิ้มแบบนั้นล่ะ? น่าขนลุกชะมัด”

 

 

“ฉัน….ยิ้มเหรอ?” เสียงที่ตอบกลับไปเจือปนไปด้วยเสียงหัวเราะอันแปลกประหลาดที่ส่งออกมาจากลำคอ นี่เขากำลังหัวเราะอะไร?

 

 

“ก็ใช่น่ะสิเจ้าบ้า…. แสยะยิ้มแปลกๆอย่างกับฆาตกรโรคจิต”

 

 

คาเกยาม่ายกปลายนิ้วขึ้นลูบริมฝีปากตัวเองอย่างชั่งใจ…..

 

 

มุมปากที่กระดกขึ้นเล็กๆนั่นเป็นหลักฐานได้ดีว่า เขายิ้มอยู่จริงๆ

 

 

นิ้วเรียวยาวยื่นไปลูบกลีบปากนุ่มของคนที่อยู่ตรงหน้า

 

 

ดวงตากลมโตสีส้มเบิกโพลงและฉายแววระริกอย่างตกใจ

 

 

คาเกยาม่าค่อยๆ ก้าวไปข้างหน้าเชื่องช้า ดวงตาสีดำสนิทสะกดคนตรงหน้า และดันร่างนั้นให้ชิดกำแพงที่อยู่ด้านหลัง

 

 

แขนที่ว่างอีกข้างยกขึ้นเท้ากับผนังเย็นเฉียบ กักร่างเล็กนี้ไม่ให้ขยับไปไหน…..

 

 

“….นายจะทำ…อะไร….” น้ำเสียงนั่นติดขัดอย่างสับสน เขาโน้มตัวลงประทับกลีบปากนุ่มแทนคำตอบ

 

เสียงอู้อี้ที่ดังจากคนร่างเล็กไม่ทำให้หงุดหงิดใจเท่าเสียงสั่นครืดของโทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงของอีกฝ่าย

 

เขาผละริมฝีปากออกมา คิ้วเรียวขมวดมุ่นอย่างงุ่นง่านใจ

 

เจ้าตัวเล็กใบหน้าแดงเถือก มือหนึ่งยกขึ้นตะปบริมฝีปากชื้นนุ่มของตัวเองเอาไว้

 

อีกมือหนึ่งรีบล้วงโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกงอย่างตะลีตะลาน

 

 

 

 

“….ฮะ…ฮัลโหล” เสียงนั่นติดจะหอบสั่นเล็กน้อย เรียกให้คาเกยาม่าแย้มรอยยิ้ม หากแต่คำพูดต่อมาแทบทำให้อยากจะคว้าโทรศัพท์นั่นมาขว้างทิ้ง

 

 

“อ๊ะ….อินุโอกะเหรอ?”

 

 

ชื่อนั้นที่ทำให้หงุดหงิดตลอดทั้งเกมการแข่งขัน

 

ชื่อของคนๆนั้นที่เรียกฮินาตะของเขาด้วยชื่อจริง

 

และไอ้คนชื่อนั้นกำลังคุยกับฮินาตะ!

 

 

 

 

…หมับ….

 

 

 

 

“เอ๊ะ?” คนร่างเล็กส่งสีหน้าประหลาดใจ

 

คาเกยาม่าไม่ได้ตอบอะไรแต่คว้าโทรศัพท์ในมือเล็กนั่นมาถือไว้ นิ้วเรียวกดวางสายอย่างถือวิสาสะ โยนโทรศัพท์เครื่องนั้นเข้าไปในพงหญ้าอย่างแรงจนเกือบเป็นเหวี่ยง

 

 

 

 

“…จะทำอะ….อื้อ!”

 

 

 

ไม่รอให้เจ้าตัวพูดจบ เขาก็ฉกริมฝีปากนั่นอีกครั้ง ปากเล็กที่ยังคงอ้าค้างเพราะคำพูดที่ตั้งใจจะพูดไม่ถูกส่งออกมาถูกลิ้นสอดรุกไล้เข้าไป ร่างเล็กนั่นชะงักเกร็งและพยายามจะขืนตัวออก ทว่า เขารัดตรึงร่างนั้นไว้ในอ้อมแขนที่แข็งแรงกว่า พลางใช้มือหนึ่งกดหลังคอของอีกฝ่ายเอาไว้

 

 

นิ้วยาวสอดไล้เข้าไปในเสื้อวอร์มของอีกฝ่าย มือหนาลูบไล้แผ่นอกผ่านเนื้อผ้าของเสื้อยืดสีขาว…..

 

น้ำลายที่ไม่รู้ว่าของใครเป็นของใครถูกดูดกลืนและแลกเปลี่ยนกันอย่างนัวเนีย

 

จนกระทั่งถอนริมฝีปากออกมา คราบน้ำลายที่ไหลเป็นทางจรดปลายคางของคนตรงหน้า พร้อมด้วยดวงตาฉ่ำเยิ้มที่รื้นไปด้วยหยาดน้ำตา มันช่าง…………….

 

 

 

 

เร้าอารมณ์จริงๆ

 

 

 

 

“ยะ….อย่า….คาเกยาม่า….ไม่เอา….” เสียงแหบพร่านั้นสั่นเครืออย่างน่าสงสาร หากแต่ตอนนี้เขาไม่อาจจะหยุดตัวเองได้อีกแล้ว…..

 

 

 

ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานขนาดไหน…..

 

 

หนึ่ง? สองชั่วโมง? หรืออาจจะมากกว่านั้น….

 

 

 

 

ร่างปวกเปียกที่ทาบทับอยู่ในอ้อมแขนนั้นชื้นไปด้วยเหงื่อ

 

 

 

 

 

หมดสติไปแล้ว…..

 

 

 

คาเกยาม่าก้มมองร่างเล็กในอ้อมแขนอย่างนึกเอ็นดู พลางเกลี่ยเส้นผมเปียกชุ่มที่ปรกหน้าผากออกไปทัดหูให้

 

 

ปลายหางตาเห็นแสงวาววับของโทรศัพท์คนร่างเล็กที่โยนทิ้งไปอยู่ตรงโพรงหญ้าสั่นครืดไม่ขาดสาย….

 

 

พรุ่งนี้เป็นวันเสาร์….

 

 

งั้นคงไม่มีปัญหา หากจะพาร่างของคนในอ้อมกอดนี่ไปกักขังไว้ที่ไหนสักแห่งสักสองคืน….

 

 

เขายิ้มกับตัวเอง……

 

 

ยิ้มเหรอ?……..

 

 

 

อา…..ในที่สุดก็เข้าใจแล้ว ว่ารอยยิ้มนี่มันคือ……

 

 

 

 

 

 

 

 

 

“ความพึงพอใจ”

 

 

 

 

 

 

 

 

 

=========END============

 

 
 

 

 

 

 

จบมันดื้อๆอย่างนี้แล 55555

ไม่แน่อาจจะมีภาคต่อ ถ้าเกิดเรามีไฟ กร๊ากกก

จริงๆอยากเขียนต่อนะ แต่ตอนนี้กำลังตัน คิดไม่ออกกกก

เราว่าจบแบบนี้ก็จิตดีไปอีกแบบนะ เอิ๊กกกกกก

คาเกยาม่าอย่างโรคจิตตตต โฮกกกกมาก  =///=